เรียนเต้นรำบทที่ 3 — โคโรน่าไวรัส: ควรตรวจอย่างไร สืบหาตัวผู้พบปะกับผู้ติดเชื้ออย่างไร
บทที่ 3 ของบทความ “เรียนเต้นรำ”
ผู้เขียนบทความภาษาอังกฤษ Tomas Pueyo, อัปเดตครั้งล่าสุดวันที่ 28 เม.ย. 2563
แปลเป็นไทยโดย Ken Mallikamas
ใช้เวลาอ่านประมาณ 40 นาที
ลิงค์จาก Twitter อาจไม่ขึ้นให้เห็นถ้าใช้ Safari ถ้าใช้ Chrome จะไม่มีปัญหานี้
………………………………………………………………………………
นี่คือบทที่ 3 ของบทความ โคโรน่าไวรัส: เรียนเต้นรำ ซึ่งคิดว่าจะมีทั้งหมดหกบท
ในบทที่ 1 เราหารือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดจากไต้หวัน สิงคโปร์ จีน และเกาหลีใต้ ลิงค์บทที่หนื่ง อยู่ที่นี่
ในบทที่ 2 เราเรียนรู้ถึงความสำคัญของการใส่หน้ากาก การวางระยะห่างของบุคคล (Physical Distancing) สุขลักษณะ และการให้ความรู้แก่สาธารณชน ลิงค์บทที่สอง อยู่ที่นี่
ในบทนี้เราจะหารือกันในรายละเอียดของการตรวจ การสืบตัวผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยและความเป็นส่วนตัว
ในบทที่ 4 เราจะพูดถึงการแยกตัวผู้ป่วยและการกักกัน
ในบทที่ 5 เราจะคุยกันเรื่องการห้ามการท่องเที่ยว การจำกัดการชุมนุมทางสังคมและการปิดทางเศรษฐกิจ
ในบทที่ 6 เราจะรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เราจะให้คำแนะนำในแต่ละเรื่องรวมถึงคำเตือน: ประเทศส่วนใหญ่ยังเต้นไม่ดีพอ และหากยังดำเนินการต่อเส้นบนเส้นทางปัจจุบัน ประเทศเหล่านี้อาจจบลงเช่นสิงคโปร์
………………………………………………………………………………
ข้อสรุปของบทที่ 3 — เรียนการเต้นรำ
เราสามารถเปิดเศรษฐกิจได้อีกครั้งหากเราทำบางสิ่งให้ถูกต้อง สิ่งนี้คือการตรวจสอบและการสีบตัวผู้ที่ผู้ติดเชื้อพบปะด้วย เราจำเป็นต้องตรวจทุกคนที่มีอาการรวมถึงผู้ที่มีการสมาคมกับคนป่วย และนี่หมายความว่าอย่างมากที่สุดผลการตรวจที่เป็นบวกไม่ควรเกิน 3%
เราจำเป็นต้องระบุผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด รวมทั้ง 70% ถึง 90% ของผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อ เพื่อแยกหรือกักกันตัว หากเราทำสิ่งเหล่านี้ได้รวดเร็ว (ภายในหนึ่งวัน) มันอาจจะเพียงพอที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
เราควรจ้างคนจำนวนมากมาทำงานนี้ และใช้เทคโนโลยีช่วยด้วย การใช้เทคโนโลยีมีข้อจำกัดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว แต่ถ้าพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่าสมเหตุสมผล แอปที่ใช้ในบลูทูธเพื่อช่วยในการค้นคว้าว่าผู้ป่วยมีการพบปะกับใครบ้างนั้นเป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง แต่จะไร้ประโยชน์หากไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานบางอย่าง
….
หลายประเทศกำลังอดทนอยู่กับระยะลงค้อนในวันนี้: ชุดมาตรการทางสังคมขนาดใหญ่ที่หยุดเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด คนหลายล้านคนสูญเสียงาน รายได้ เงินออม ธุรกิจ และอิสระภาพ ความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้นมากมาย ประเทศต่างๆ ต่างก็อยากรู้ว่าจะต้องทำอะไรเพื่อเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง
โชคดีที่สี่มาตรการที่เราจะคุยกันต่อไปนี้สามารถลดการแพร่ระบาดได้อย่างมาก และราคาถูกมากเมื่อเทียบกับการปิดเศรษฐกิจ หากหลายประเทศกำลังอดทนต่อมาตรการทุบด้วยค้อนในวันนี้ มาตรการที่เราจะพูดถึงต่อไปเปรียบเสมือนมีดผ่าตัด เพราะเป็นการสกัดเอาเชื้อโรคออกอย่างระมัดระวังในวงจำกัด แทนที่จะทำให้ทุกคนลำบากในคราวเดียวเหมือนมาตรการทุบด้วยค้อน
มาตรการทั้งสี่นี้ต้องการซึ่งกันและกัน และจะไม่ทำงานถ้าไม่ทำพร้อมกันทั้งสี่:
- ด้วยการตรวจ เราจะรู้ว่าใครติดไวรัส
- ด้วยการแยกตัวผู้ติดเชื้อ เราจะป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อพาโรคไปให้คนอื่น
- ด้วยการสืบตาม เราจะรู้ว่าผู้ป่วยพบปะสมาคมกับใครบ้าง
- ด้วยการกักกัน เราป้องกันไม่ให้ผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยเอาเชื้อไปติดผู้อื่น
การตรวจและการสืบตามคือความรู้ ส่วนการแยกตัวและการกักกันคือการปฏิบัติ เราจะคุยกันในรายละเอียดของสองอย่างแรกในวันนี้ — การตรวจและการสืบตาม
การตรวจ
การตรวจเป็นหัวใจของการสนทนาของเรามาหลายสัปดาห์ คนส่วนใหญ่ในประเทศต่างๆโดยมากมักวิจารณ์ว่าประเทศของตัวไม่มีการตรวจที่เพียงพอ แต่มีคนไม่กี่คนที่ตั้งคำถามนี้: เราควรตรวจมากแค่ไหน?
ควรมีการตรวจในประเทศมากเพียงใด
ขึ้นอยู่กับประเทศและสิ่งที่ประเทศนั้นกำลังพยายามทำ แยกประเทศได้เป็นสองประเภท:
ในมุมหนึ่งเรามีประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา สเปน สหราชอาณาจักร หรือฝรั่งเศส ที่มีการแพร่ระบาดของโรคที่ไม่สามารถควบคุมได้ ประเทศเหล่านี้ไม่พร้อมที่จะรับมือกับวิกฤติดังกล่าวดังนั้นพวกเขาจึงใช้มาตรการลงค้อน ซึ่งเป็นมาตรการที่หนักมากในการล็อคเศรษฐกิจและป้องกันไม่ให้ผู้คนติดเชื้อ นี่คือวิธีที่ต้องใช้หยุดการแพร่ระบาด สำหรับประเทศกลุ่มนี้การตรวจผู้คนจำนวนมากไม่จำเป็นในตอนนี้ เพราะพวกเขาจำกัดการแพร่กระจายด้วยมาตรการค้อน คนที่ประเทศเหล่านี้ต้องตรวจคือผู้ป่วยหรือมีแนวโน้มที่จะป่วยเท่านั้น (เช่นบุคลากรทางการแพทย์) เพื่อแยกตัวออกและรักษาผู้ป่วย ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสีแดงหรือสีส้มในชาร์ตข้างล่างนี้
แต่ก่อนที่ประเทศสีส้มหรือสีแดงจะเข้าสู่ช่วงการเต้นรำ พวกเขาจะต้องพร้อมก่อน นั่นหมายถึงการตรวจจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อให้มีสัดส่วนที่ใกล้กับประเทศที่เป็นสีเขียว
ตัวอย่างของประเทศสีเขียวคือไต้หวัน เวียดนาม และเกาหลีใต้ ประเทศเหล่านี้ยังใช้การตรวจเพื่อวินิจฉัยผู้ป่วย และมีการสืบตามการพบปะของผู้ติดเชื้อเพื่อเอาคนเหล่านี้มาตรวจแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่มีอาการ ประเทศเหล่านี้ตรวจคนในวงกว้างที่อาจติดเชื้อแต่ยังไม่รู้ตัว
หากคุณต้องการตรวจตรวจกลุ่มผู้เดินทางหรือผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการแล้ว คุณต้องทำการตรวจมากขึ้นเยอะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผลการตรวจของประเทศเหล่านี้จึงมีเพียงประมาณ 1% — 3% เท่านั้นที่เป็นบวก ประเทศทั้งหมดที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้จะมี % ผลบวกประมาณนี้
สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ประเทศที่มีการตรวจแย่คือประเทศที่มีการระบาดมาก กลุ่มประเทศในวงสีแดงมีการตรวจน้อยและการระบาดของโรคร้ายแรงในขณะที่ประเทศที่อยู่ด้านล่างซ้ายมีการตรวจที่ดีและมีเคสน้อย เมื่อประเทศที่จัดการกับวิกฤตได้ดีที่สุดทำการตรวจจำนวนมาก ประเทศอื่นๆก็ควรทำตามแบบอย่าง ผลตรวจที่เป็นบวกของประเทศที่จัดการการระบาดได้ดีจะมีจำนวนเคสประมาณ 3% ของจำนวนคนทั้งหมดที่ตรวจ
สิงคโปร์และเยอรมนีเป็นกรณีที่น่าสนใจ สองประเทศนี้เคยมีผลตรวจเป็นบวกประมาณ 3% แต่จากการระบาดเมื่อเร็วๆนี้ ผลบวกเพิ่มขึ้นเป็น 8% หวังว่าคงไม่มีปัญหาเรื่องปริมาณกำลังการตรวจและจะสามารถตรวจทุกคนที่ต้องการได้ แต่นี่อาจแสดงให้เห็นว่าการระบาดอาจสามารถเอาชนะปริมาณสูงสุดของความสามารถในการตรวจได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นก็จะทำให้ยากที่จะระบุตัวผู้ป่วยทุกคนและแยกตัวผู้ป่วยออก
รัฐบาลต้องการคาดการณ์ว่าจะต้องมีการตรวจมากพอเมื่อใด แต่นี่เป็นการยากเพราะตัวเลขจำนวนการตรวจและจำนวนเคสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และในความเป็นจริงจำนวนการตรวจก็อาจมีอิทธิพลต่อจำนวนเคส ดังนั้นรัฐบาลจะทำนายได้อย่างไรว่าตรวจพอแล้ว?
ในกราฟนี้เคสใหม่รายวันคือเส้นสีแดง และการตรวจใหม่รายวันคือเส้นสีเขียว มีการปรับสัดส่วนในกราฟเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบได้ ดังที่เราเห็นจากข้างบน ประสบการณ์ของประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้ระบุว่า เราควรตั้งเป้าว่าผลเทสต์ที่เป็นบวกควรเป็นอย่างน้อย 3% ของจำนวนที่เทสต์ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าคุณต้องตรวจมากกว่าพบผลตรวจที่เป็นบวก 33 เท่า ดังนั้นแกน Y ทางด้านขวา (จำนวนตรวจประจำวัน) มีตัวเลขใหญ่กว่าแกน Y ด้านซ้าย (จำนวนเคสประจำวัน) ประมาณ 33x เมื่อคุณดูกราฟ คุณจะเห็นได้ว่าเมื่อไหร่คุณมีการตรวจที่เพียงพอ
ในเกาหลีใต้ เมื่อครั้งที่เกิดการระบาดเพิ่มขึ้นทันทีทันใด จำนวนผู้ป่วยมีมากเกินไปสำหรับจำนวนการตรวจ และพวกเขาสูญเสียความมั่นใจในจำนวนผู้ป่วยที่พบแบบเป็นทางการ (พื้นที่สีแดง) อย่างไรก็ตามภายในไม่กี่สัปดาห์พวกเขาสามารถตรวจได้มากพอที่จะเข้าสู่เขตพื้นที่สีเขียวอีกครั้ง ทุกวันนี้เกาหลีใต้ทำการตรวจมากกว่าที่พวกเขาจำเป็นต้องทำที่จะอยู่ในเกณฑ์ 3% คือมีผลตรวจเป็นบวกประมาณ 1% เท่านั้น
ลองเปรียบเทียบกับอิตาลีดู
อิตาลีได้เพิ่มจำนวนการตรวจประจำวันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่พอที่จะรู้ขอบเขตของสถานการณ์การระบาดได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยกราฟนี้พวกเขาสามารถเริ่มรู้ได้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะข้ามขีดนี้ไปได้ หากจำนวนเคสที่พบใหม่ยังคงลดลงในขณะที่มีการตรวจเพิ่มขึ้น พวกเขาอาจข้ามเกณฑ์ 3% ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ตัวอย่างประเทศอื่นๆ:
อิตาลีได้เพิ่มจำนวนการตรวจประจำวันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่พอที่จะรู้ขอบเขตของสถานการณ์การระบาดได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยกราฟนี้พวกเขาสามารถเริ่มรู้ได้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะข้ามขีดนี้ไปได้ หากจำนวนเคสที่พบใหม่ยังคงลดลงในขณะที่มีการตรวจเพิ่มขึ้น พวกเขาอาจข้ามเกณฑ์ 3% ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ตัวอย่างจากประเทศอื่นๆ:
กราฟเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประเทศส่วนใหญ่ยังไกลจากการตรวจมากพอ
ด้วยการตรวจที่เพียงพอคุณสามารถเข้าสู่เฟสการเต้นรำ คุณสามารถจัดการโรคระบาดโดยการแยกตัวผู้ป่วยและกักกันผู้มีการติดต่อกับผู้ป่วย การทำเช่นนี้จะทำให้คุณสามารถระบุผู้ที่ติดเชื้อหรือน่าจะติดได้อย่างรวดเร็วและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ดังนั้นคุณสามารถปกป้องประชากรของคุณโดยไม่ต้องปิดเมืองและจำกัดเสรีภาพของทุกคน ผู้คนสามารถออกไปข้างนอกและคุณจะสามารถติดเครื่องเศรษฐกิจต่อไป การตรวจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และควรเพิ่มการตรวจจนกว่าจะมีเพียง 3% ของจำนวนคนที่ถูกตรวจที่มีผลตรวจเป็นบวก
หากไม่มีการตรวจเพียงพอ การแยกตัวผู้ป่วยทุกคนจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าผู้ป่วยอยู่ที่ไหน และในที่สุดก็ต้องมีการล็อคดาวน์
ตราบใดที่การตรวจมีจำกัด ประเทศต่างๆจะต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะตรวจใครก่อน คำถามต่อไปคือ เราจะจัดลำดับความสำคัญของการตรวจได้อย่างไร
การจัดลำดับความสำคัญในการตรวจ
ดังที่เรากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คนแรกที่คุณต้องตรวจคือผู้ที่มีอาการ ซึ่งปกติจะอยู่ที่โรงพยาบาลหรือสำนักงานแพทย์ นี่คือสิ่งที่ประเทศส่วนใหญ่ทำในช่วงมาตรการลงค้อน
สำหรับประเทศที่พร้อมจะเข้าสู่ระยะเต้นรำ เมื่อตรวจผู้ป่วยที่มีอาการหมดแล้ว ขั้นต่อไปจำเป็นต้องเริ่มตรวจผู้ที่ยังไม่มีอาการ นี่คือความรู้ที่ได้จากการสืบตัวผู้ที่พบปะกับผู้ป่วย: ค้นให้เจอว่าใครอาจป่วยและตรวจคนเหล่านี้
หากคุณอ่านโพสต์ก่อนหน้าของเราคุณจะเห็นกราฟนี้:
เพื่อเป็นการเตือนความจำ ชาร์ตข้างบนมาจากบทความที่ยอดเยี่ยมจาก Oxford University ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science บทความนี้อธิบายโดยละเอียดว่าโคโรน่าไวรัสแพร่กระจายจากคนสู่คนอย่างไร แกน X แสดงจำนวนวันนับตั้งแต่การติดเชื้อครั้งแรก แกน Y แสดงจำนวนผู้ติดเชื้อในรูปแบบที่แตกต่างกันในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่นในวันที่ 5 หลังจากการติดเชื้อ ผู้ติดเชื้อแพร่เชื้อต่อให้คนอื่นโดยเฉลี่ย 0.4 คน ส่วนใหญ่มาจากคนที่มีอาการอยู่แล้วหรือผู้ที่จะมีอาการในไม่ช้า (Pre-symptomatic) การแพร่เชื้อผ่านสภาพแวดล้อม (อาจจากพื้นผิว) ก็มีนิดหน่อย และน้อยกว่านั้นมาจากคนที่มีไวรัส แต่จะไม่มีอาการเลย
การตรวจและการสืบตามผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยคือความรู้ การแยกตัวผู้ป่วยและการกักกันคือการปฏิบัติ
หากคุณตรวจและแยกคนที่มีอาการเท่านั้นคุณสามารถลด R (อัตราการส่งผ่านที่มีประสิทธิภาพ) ได้สูงสุดอย่างมาก 40% หากค่า R ของโคโรน่าไวรัส คือ 2.5 หรือ 3 การแยกแต่ผู้มีอาการจะไม่ทำให้ค่า R ต่ำกว่า 1 ได้
แต่ถ้าคุณสืบตามผู้พบปะสมาคมกับผู้ป่วย และตรวจคนเหล่านี้ด้วย คุณจะสามารถระบุตัวผู้ที่ยังไม่มีอาการได้ (Pre-symptomatics) และจะสามารถลดการแพร่กระจายของเชื้อลงได้ถึง 85%
โดยสรุปคุณต้องตรวจผู้ที่มีอาการและผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยทั้งหมดเป็นจำนวนมาก
แต่คุณสามารถลด R ได้ถึง 85% หากการตรวจของคุณสมบูรณ์แบบ ในชีวิตจริงมันใช้เวลาพอสมควร แล้วความเร็วของการตรวจมีความสำคัญมากแค่ไหน?
ความสำคัญของความเร็วในการตรวจ
หากการตรวจของคุณไม่เร็วพอ หรือยากเกินไป หรือแพงเกินไป ผู้คนจะไม่ได้รับการตรวจเมื่อควรหรือผลลัพธ์จะไม่เร็วพอ เป็นผลให้การติดเชื้อเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะมีเวลาแยกตัวผู้ป่วย
แนวคิดเดียวกันนี้เป็นจริงสำหรับการสืบตัวผู้ที่คนป่วยพบปะด้วย หากคุณใช้เวลาโดยเฉลี่ยสามวันนับจากการติดเชื้อเพื่อติดตามผู้มีการติดต่อกับผู้ป่วย และกักกันหรือแยกตัวคนเหล่านี้ คุณจะพลาดการระบาดจำนวนมาก
เราเห็นปัจจัยสามประการที่มีความสำคัญในที่นี้:
- เราระบุตัวและแยกตัวผู้ติดเชื้อได้กี่คน
- เราสืบตัวผู้มีการพบปะกับคนป่วยได้กี่คน กักกันกี่คน
- เราทำทั้งสองอย่างได้เร็วแค่ไหน
เราจะเปรียบเทียบความสำคัญของทั้งสามสิ่งนี้ได้อย่างไร ก่อนอื่นลองนึกภาพดูว่าถ้าเราทำการตรวจทันทีและสืบตามตัวได้โดยทันที
กราฟนี้มาจากบทความจากOxford บทความนี้บอกเราถึงจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยที่เราจะต้องระบุเพื่อให้สามารถแยกตัวหรือกักกันคนเหล่านี้ และลดอัตราการแพร่ระบาดของโรค
การแพร่ระบาดของโรคจะเพิ่มขึ้นในเขตุสีแดง / ส้ม และหดตัวในเขตุสีเขียว ขีดจำกัดคือเส้นสีดำโดยมีเส้นประเป็น Confidence Interval (แสดงถึงความไม่แน่นอน) จุดใดก็ตามบนเส้นสีดำก็เพียงพอที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ตัวอย่างเช่น เครื่องหมาย X สีแดงแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้หากคุณสามารถแยกผู้ป่วยที่มีอาการ 60% จากทั้งหมดได้ทันทีก่อนที่พวกเขาจะแพร่เชื้อให้คนอื่น และสืบตามผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยได้ทันที 50% ของจำนวนคนทั้งหมดที่ผู้ป่วยพบปะด้วย และดำเนินงานแยกตัว / กักกันพวกเขาก่อนที่จะแพร่เชื้อให้คนอื่น
อาจฟังดูยาก แต่ข่าวดีก็คือหากทำได้ดี มาตรการนี้เพียงอย่างเดียวสามารถหยุดการแพร่ระบาดได้ และจะยังช่วยแม้ทำได้ผลไม่ดีนัก ตัวอย่างเช่นการแยก 50% ของผู้ติดเชื้อและ 30% ของผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยจะทำให้คุณเข้าใกล้พื้นที่สีเขียวมากขึ้น ถ้ารวมผลงานนี้เข้ากับมาตรการอื่นๆ เช่นการสวมหน้ากาก คุณก็จะควบคุมโรคระบาดได้ดีขึ้นโดยอาจไม่ต้องใช้มาตรการที่รุนแรง
สมมุติฐานอย่างหนึ่งในกราฟนี้คือ ไม่มีความล่าช้าระหว่างการติดเชื้อ การตรวจผู้ป่วย และการสืบตามตัวผู้มีการพบปะกับผู้ป่วย แต่ความล่าช้านั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของความเป็นจริง ความล่าช้าเหล่านี้สำคัญมากแค่ไหน?
กราฟทางด้านขวาเป็นกราฟเดียวกับที่แสดงข้างบน (16 a) กราฟอีกสามกราฟแสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีความล่าช้าหนึ่งวัน สองวัน หรือสามวันในการแยกคนที่มีอาการและไม่มีอาการออกจากสังคม
กราฟทางด้านซ้ายบอกเราว่า: “หากคุณมีความล่าช้าในการแยกและกักกัน 3 วัน มันจะยากมากที่จะหยุดโรคนี้” โดยธรรมดาความเร็วแม้น้อยนิดก็จะมีส่วนช่วย แต่หากล่าช้าถึงขั้นนี้ก็จะช่วยได้น้อยมากเพราะช้าเกินไป
กราฟที่สองจากซ้ายบอกเราว่า:“ หากคุณมีความล่าช้าเพียงสองวันในการแยกและกักกันคุณต้องแยกตัวผู้ป่วยอย่างน้อย 70% — 90% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด และสืบตามผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยให้ได้อย่างน้อย 70% -90% ของทั้งหมดเพื่อหยุดการแพร่ระบาด
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ: คุณสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้โดยไม่ต้องปิดเศรษฐกิจ ด้วยการใช้มาตรการเหล่านี้เพียงอย่างเดียวหากคุณเร็วพอและมีประสิทธิภาพพอในการตรวจ แยกคนป่วย ติดตามผู้มีการพบปะกับผู้ป่วย และกักกันคนเหล่านี้ คุณต้องทำอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งจริงๆ มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดด้วยมาตรการนี้เพียงลำพังได้
ถ้าไม่สามารถใช้มาตรการชุดนี้ให้ได้ผลดี มันจะยากอย่างยิ่งที่จะควบคุมการแพร่ระบาดและคุณจะถูกบังคับให้หามาตรการมหัศจรรย์ สร้างภูมิคุ้มกันฝูง หรือใช้มาตรการฟาดด้วยค้อนอื่นๆซึ่งจะนำไปสู่ผลเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ หรือมีคนตายเป็นจำนวนมาก
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ประเทศต่างๆต้องมีการตรวจจำนวนมากและทำให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด คุณต้องการทั้งปริมาณและความเร็ว
เกาหลีใต้ทำการตรวจแบบการขับผ่าน (drive through) และการตรวจโดยใช้ตู้โทรศัพท์เป็นแบบอย่าง การตรวจยิ่งง่ายผู้คนก็จะยิ่งทำเร็วขึ้น และเราก็จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น
บางประเทศกำลังพิจารณาที่จะตรวจทุกคนตลอดเวลา ตัวอย่างเช่นลองจินตนาการว่าประชากรส่วนใหญ่ของสหรัฐได้รับการตรวจทุกสัปดาห์ — สมมุติว่า 300 ล้านจาก 330 ล้าน — เราจะรู้ว่าทั้งประเทศมีคนป่วยกี่คนได้ตลอดเวลา และมีแนวโน้มที่จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ อย่างไรก็ตามการตรวจ 300 ล้านครั้งต่อสัปดาห์นั้นเอื้อมไม่ถึงและอาจจะแพงไปหน่อย ในหนึ่งปีมีการตรวจมากกว่า 15,000 ล้านครั้ง สมมุติว่าราคาการตรวจแต่ละครั้งต้องใช้เงิน $20 — แปลว่าเราต้องใช้เงิน $300 พันล้านเหรียญซึ่งค่อนข้างแพงแม้ว่าจะเป็นเพียง 15% ของเงินกระตุ้น 2 ล้านล้านเหรียญของรัฐบาลสหรัฐก็ตาม
การตรวจแบบนี้มีราคาแพงมากในขณะนี้และเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเรามีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจผู้คนมากขึ้นค่าใช้จ่ายก็อาจเปลี่ยนไป
วิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจมากขึ้นมีหลายวิธี ตัวอย่างเช่นบทความนี้อธิบายว่าถ้ามีผู้ติดเชื้อเพียงไม่กี่คน คุณสามารถตรวจกลุ่มคนได้อย่างฉลาดในคราวเดียวและลดจำนวนการตรวจลงแปดเท่า การลดค่าใช้จ่ายในการตรวจจำนวนมากจาก $ 300พันล้าน ลงมาเหลือ $ 40พันล้าน จะเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ มีหลายประเทศที่ทำแบบนี้แล้วเช่นเยอรมนี ออสเตรีย อิสราเอล หรือสหรัฐอเมริกา
อีกวิธีที่มีความเป็นไปได้มากคือการตรวจสิ่งปฏิกูล
แนวคิดก็คือเราสามารถวัดจำนวนโคโรน่าไวรัสในน้ำเสีย ซึ่งจะสามารถบอกเราแบบกว้างๆได้ว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวนเท่าใด จากจุดนี้เราสามารถตรวจสิ่งปฏิกูลเหนือน้ำขึ้นไปเพื่อค้นหาอาคารที่มีเชื้อไวรัส และตรวจทุกคนในอาคารนั้นและแยกผู้ติดเชื้อออก
ข้อสรุปของหัวข้อนี้
- คุณต้องตรวจให้มากๆเพื่อระบุตัวผู้ติดเชื้อโดยเร็วที่สุด
- นั่นหมายถึงการตรวจที่เพียงพอเพื่อให้มีเพียง 3% เท่านั้นที่มีผลเป็นบวก นี่เป็นตัวเลขของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาด
- คุณต้องตรวจอย่างรวดเร็วเพื่อที่คุณจะสามารถแยกผู้ป่วยได้ทันที และลดจำนวนการแพร่เชื้อจากผู้ป่วย
- นี่เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของการต่อสู้ อีกครึ่งหนึ่งนั้นคือการตรวจผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยทั้งหมดเพื่อระบุว่าใครติดไวรัสแต่ยังไม่ปรากฏอาการ 45% ของการติดเชื้อมาจากคนเหล่านี้
- ในทำนองเดียวกันคุณต้องตามตัวผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
- มีวิธีการตรวจที่มีประสิทธิภาพคือตรวจคนหลายคนด้วยการตรวจเพียงครั้งเดียว
- มีวิธีการตรวจอื่นๆที่อาจให้ผลดี เช่นการตรวจสิ่งปฏิกูล
- ในโลกที่สมบูรณ์แบบ เราสามารถตรวจทุกคนได้ตลอดเวลา เราอาจไปถึงจุดนั้น แต่ในระตอนนี้ยังแพงและยาก
- ดังนั้นคุณต้องจัดลำดับความสำคัญของคนที่คุณตรวจ เริ่มจากคนที่มีอาการ จากนั้นก็ตรวจผู้ที่ผู้ป่วยพบปะสมาคมด้วยทั้งหมด
และนี่เป็นการนำเราไปสู่การสืบตัวผู้มีการพบปะกับผู้ป่วย
หมายเหตุ: เราจะพูดถึงการตรวจภูมิคุ้มกัน และรายละเอียดการตรวจแบบอื่นๆคราวหน้า บทความส่วนนี้ดึงความคิดและแหล่งที่มาของข้อมูลจากการวิจัยของ @Genevieve Gee เป็นอย่างมาก แนวคิดเรื่องผลการตรวจ % มาจากเธอ
การสืบตามผู้ที่พบปะกับผู้ป่วย
ส่วนนี้คือส่วนที่มีเนื้อมากที่สุดของบทความนี้ นี่เป็นความตั้งใจเพราะเดิมพันสูงมาก เราเพิ่งเห็นกันว่าการสืบตามผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยไม่ใช่แต่สามารถลดการแพร่ของโรคได้อย่างดี หากยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เราออกจากมาตรการเข้มงวดไปสู่ระยะการเต้นรำเพื่อเปิดเศรษฐกิจอย่างปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่ซับซ้อนและตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวมากมาย
ก่อนที่เราจะดำลึกลงในเรื่องนี้ เราจำเป็นต้องเข้าใจความหมายของการติดตามผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยอย่างชัดเจนก่อน
ขอเรียกผู้ติดเชื้อว่าบ็อบ เราต้องการระบุตัวผู้มีการติดต่อกับบ๊อบให้ได้มากที่สุดโดยเร็วที่สุด คนที่มีความสำคัญสำหรับเราไม่ใช่ทุกคนที่บ๊อบพบด้วย แต่เป็นคนที่อาจติดเชื้อจากบ๊อบ
https://www.youtube.com/watch?time_continue=228&v=BE-cA4UK07c&feature=emb_logo
จะทำเช่นนี้ได้ คุณก็ต้องมีทีมสืบตัวผู้ที่พบปะกับผู้ป่วย
ผู้สืบตัวผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยมีหลายหน้าที่ ก่อนอื่นพวกเขาจะได้รับรายชื่อผู้ติดเชื้ออย่างบ๊อบ พวกเขาจะสัมภาษณ์บ๊อบเพื่อเรียนรู้ทุกที่ที่เขาไปเมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้วและคนที่บ๊อบใช้เวลาด้วย เนื่องจากบ๊อบเป็นมนุษย์ บ่อยครั้งเขาก็เชื่อถือไม่ได้ เขาอาจจะหลงลืม ป่วยตื่นตระหนก เศร้า ไม่ร่วมมือ หรือทุกอย่างที่กล่าวมา ดังนั้นผู้สืบหาก็ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการนี้ ตัวอย่างเช่นเกาหลีใต้ซึ่งผู้สืบหาใช้ข้อมูล GPS จากมือถือ ข้อมูลการใช้จ่ายบัตรเครดิต และวิดีโอวงจรปิด ตัวอย่างอื่นคือการแอปติดตามผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อ
จากข้อมูลทั้งหมด พวกเขาจึงรวบรวมรายชื่อผู้ที่พบปะกับบ๊อบที่อาจติดเชื้อสั่ง เรียงลำดับตามความเป็นไปได้ในการติดเชื้อ จากนั้นพวกเขาก็จะติดต่อไปหาคนเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อตามตัวได้แล้วจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของการติดเชื้อและกฎระเบียบของรัฐบาล คนเหล่านี้อาจถูกสั่งให้มาตรวจตรวจ กักกันตัวเอง หรือเพียงถามถึงอาการของพวกเขา ทีมสืบต้องตามตัวในรายชื่อให้ได้มากที่สุดและโดยเร็วที่สุด
แต่ผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยหมายความว่าอะไร? เราจำเป็นต้องมีรายชื่อจำนวนเท่าใด เราต้องติดตามคนพวกนี้เร็วแค่ไหน?
คุณสมบัติของผู้ที่มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อคืออะไร
เนื่องจากเราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่แพร่เชื้อได้ประมาณสองสัปดาห์เท่านั้น เราจึงสนใจเฉพาะคนที่บ๊อบอาจมีการพบปะด้วยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นบ๊อบไม่ควรแพร่เชื้อได้ และถึงเค้าจะมีเชื้อตอนนั้น ผู้ที่บ๊อบพบปะสมาคมด้วยก็ไม่น่าจะแพร่เชื้อได้อีกต่อไป
ภายในสองสัปดาห์นี้เราต้องการระบุผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะติดเชื้อเท่านั้น สมาชิกในครอบครัวของ Bob ทุกคนมี โอกาส มาก ในทางกลับกันคุณไม่แคร์มากนักกับคนที่เดินสวนกับบ๊อบตอนข้ามถนนโดยอยู่ห่างกัน 5 เมตร (~15 ฟุต)
ดังที่เราเห็นในขั้นตอนการเต้นรำขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถทำตามได้ (เรียนเต้นรำ บทที่ 2) การแพร่เชื้อมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่จำกัดซึ่งผู้คนอยู่ใกล้ชิดกัน พูดคุย ไอ หรือร้องเพลงเป็นเวลานานๆ
หลายประเทศแปลงสิ่งเหล่านี้เป็นกฎ ตัวอย่างเช่น ทีมสืบจะสืบผู้ที่บ๊อบพบปะด้วยหากพบว่าใช้เวลาร่วมกันมากกว่า 15 นาทีภายในระยะ 2 เมตร ซึ่งฟังดูก็สมเหตุสมผล แต่ในความเป็นจริง การสืบตัวนั้นละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ คนที่ทานข้าวด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงอาจถูกระบุว่ามีความเสี่ยงสูงและขอให้ไปกักกันตัว โดยมีผู้ตรวจสอบการกักกันทุกๆสองสามชั่วโมง ในขณะที่คนที่เข้าคิวเดียวกันที่ร้านขายของชำอาจถูกขอร้องให้ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษและตรวจสอบอาการของตัวเองบ่อยๆแค่นั้น
เราจำเป็นต้องสืบผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อจำนวนเท่าใด
เราเคยคุยกันมาก่อนว่าเราต้องการติดตามอย่างน้อย 60% ของผู้ที่ผู้ติดเชื้อพบปะด้วยและกักกัน / แยกตัวคนเหล่านี้ออกทันทีเพื่อลด R (ค่าวัดประสิทธิภาพของการแพร่กระจายของไวรัส ซึ่งหมายถึงจำนวนผู้ติดเชื้อจากผู้แพร่เชื้อหนึ่งคน) แต่บทความนั้นสันนิษฐานว่ามีค่า R0 เท่ากับ 2.5 (R0 คือหมายเลขการแพร่กระจายในสภาพที่สมบูรณ์: เมื่อไม่มีใครมีภูมิคุ้มกัน และยังไม่มีมาตรการใดๆที่ใช้ต่อต้านการแพร่เชื้อ) แล้วถ้าค่า R ต่างจากนี้ล่ะ?
บทความนี้ใช้ R0 ที่แตกต่างกันและประเมินความจำเป็นในการสืบติดตามผู้มีการพบปะกับผู้ป่วย เพื่อนำ R ลงมาต่ำกว่า 1 กราฟข้างล่างแสดงให้เห็นค่า R0 ที่ต่างกัน — 1.5 (เส้นสีแดง), 2.5 (เส้นสีเทา) และ 3.5 (เส้นสีน้ำตาล)
แกนแนวนอน X คือ % ของผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยที่ต้องตามตัวให้ได้ และแกนแนวตั้ง Y คือผลกระทบต่อค่า R
ถ้าเราดูเส้นสีน้ำตาลที่ด้านบน R0 = 3.5 หากคุณไม่ทำอะไรเลยคุณมีอัตราการแพร่เชื้อเกือบถึง 3: ทุกคนที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อให้คนอื่น 3 คน (ไม่ใช่ 3.5 เพราะบทความนั้นตั้งสมมุติฐานว่าผู้ป่วยติดเชื้อบางรายจะแยกตัวเองออกจากสังคม) จากนั้น R จะลดลงเนื่องจากมีการติดตามและกักกันผู้ที่ผู้ป่วยพบปะด้วยมากขึ้นเมื่อเราเคลี่อนไปทางขวาของแกน X
คุณจะเห็นได้ว่าเส้นสีน้ำตาลอยู่ต่ำกว่าเส้นประของ “1” เมื่อประมาณ 90% ของผู้ที่พบปะกับผู้ติดเชื้อถูกตามตัวมาได้ — และตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ติดเชื้อเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาด หากคุณทำได้ดีมาตรการนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถหยุดโรคระบาดได้ แม้คุณจะทำไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบมันก็ยังช่วยได้บ้าง
คุณจะเห็นว่าเส้นสีน้ำตาลมีพื้นที่สี่น้ำตาลอยู่รอบๆ เหตุก็เพราะการคำนวณเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ เรายังขาดข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องคาดเดาบางอย่าง อาจเป็นได้ว่าการติดตาม 90% ของผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยอาจลดค่า R ลงเป็น 1.5 หรือ 0.5 เรายังไม่แน่ใจ แต่จะลดค่า R ลงอย่างมากแน่นอน
หากแทนที่ R0 = 3.5 เรามองไปที่ R0 = 2.5 (เส้นสีเทา) การคาดเดาที่ดีที่สุดของเราคือเราต้องสืบ 70% ของผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยให้ได้ เพื่อที่จะหยุดการแพร่ระบาดของโรค
โปรดจำตัวเลขเหล่านี้ไว้: จากข้อมูลทั้งหมดของเรา เราต้องการตามตัวผู้ที่ผู้ป่วยพบปะด้วยระหว่าง 70% ถึง 90% โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จากรายงานฉบับหนึ่ง ตัวเลข % ข้างบนนี้หมายความว่า เราต้องสืบตัวผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยให้ได้ประมาณ 20 ถึง 30 คนต่อผู้ป่วยหนึ่งคน
คุณต้องการผู้สืบตัวกี่คน
ตามแผนงานของ Johns Hopkins สหรัฐฯจะต้องมีทีมงานสืบหาตัวคนที่พบปะกับคนป่วย 100,000 คน การคำนวณจากแหล่งอื่นระบุว่าต้องมี 300,000 คน ตัวเลขนี้มีช่วงกว้างมาก มันแสดงให้เห็นถึงช่วงกว้างในกราฟนี้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง หวู่ฮั่นและนิวซีแลนด์ว่าห่างกันถึง10x ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
ตัวเลขของจำนวนผู้สืบตามที่จำเป็นต่อคนไม่สมเหตุสมผล หากประเทศหนึ่งมีประชากร 1 ล้านคนแต่ไม่มีการติดเชื้อเลย ในขณะที่อีกประเทศหนึ่งมีประชากรเท่ากัน แต่มีผู้ติดเชื้อ 10,000 ราย สองประเทศนี้ควรมีจำนวนผู้สืบตามเท่ากันหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” เห็นได้ว่าจำนวนประชากรไม่มีความหมาย
เมื่อคุณจ้างผู้สืบตามคุณซื้อเวลาของพวกเขา เวลาที่ต้องการขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยและเวลาที่ใช้ต่อเคส
จำนวนผู้ป่วยแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดของโรค เวลาที่ใช้สืบตามต่อเคสขึ้นอยู่กับการฝึกอบรมและเทคโนโลยี ลองมาดูตัวอย่างกันสองสามตัวอย่าง
เมื่อตอนหูเป่ยพีค จีนมี 1,800 ทีมที่ทำการสืบตัวผู้มีการพบปะกับผู้ป่วย ทีมหนึ่งมี 5 คน นั่นคือมีผู้ตรวจสอบสืบตัวทั้งหมด 9,000 คน จำนวนสูงสุดของเคสอย่างเป็นทางการอยู่ที่ประมาณ 4,000 เคส ลองสมมติดูว่าผู้สีบตัว 9,000 คนนี้โดยเฉลี่ยถูกจ้างสองสามวันหลังจากที่หูเป่ยเริ่มล็อคดาวน์ และสามารถยกเลิกงานได้ประมาณหนึ่งเดือนต่อมาเมื่อเกิดวิกฤตการณ์สลายตัวลง
ในระหว่างสองวันที่ในกราฟข้างบน (ระหว่างเส้นประสองเส้น) ผู้สืบตัว 9,000 คนทำงานเป็นเวลา 27 วัน (สมมุติว่าทำงานโดยไม่มีวันหยุด) จะสามารถประมวลผลได้ประมาณ 63,000 เคสซึ่งหมายถึงประมาณ 4 person.dayต่อเคส (person.day หมายถึงคนหนึ่งคนทำงานหนึ่งวัน ดังนั้น 4 person.days หมายถึงคน 4 คนทำงานหนึ่งวัน หรือคน 1 คนทำงาน 4 วัน) หากเราสมมุติว่าพวกเขาได้รับการว่าจ้างสองสามวันก่อนหน้าและเคลียร์เคสได้ช้าหลังจากวันที่ในกราฟนิดหน่อย ตัวเลขอาจกลายเป็น 5 หรือ 6 person.dayต่อเคส แต่ไม่มากไปกว่านี้
เปรียบเทียบสิ่งนี้กับอดีตหัวหน้าศูนย์บริการ Medicare และ Medicaid
ตามลิงค์นี้ค่าใช้จ่ายของแต่ละเคสเป็น 12–15 person.days
ลองสมมุติดูว่าประเทศมี 10,000 เคสใหม่ต่อวันและมั่นใจในตัวเลขนี้เพราะการตรวจนั้นให้ผลบวกประมาณ 3% (ดังที่เราเห็นในกันมาแล้วว่านี่เป็นตัวเลขที่ดีที่จะทำให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ)
สมมุติว่าพวกเขาไม่มีเทคโนโลยีการสืบตามการพบปะกับผู้ป่วย ดังนั้นผู้ตรวจสอบจำเป็นต้องโทรหาคนที่ติดเชื้อ สัมภาษณ์พวกเขา แล้วโทรหาผู้ที่พบปะกับเขาทั้งหมดและสัมภาษณ์พวกเขาทีละคน บทสนทนาเหล่านี้แต่ละครั้งมีความยาวมากเพราะผู้คนจำไม่ได้ว่าใครที่ทานอาหารกลางวันด้วยเมื่อสองวันก่อน หรือสองสัปดาห์ก่อน จากนั้นพวกเขาจำเป็นต้องรายงาน วิเคราะห์ข้อมูล มีการอ้างอิงข้ามเคสต่างๆ…
หากใช้เวลา 15 person.daysต่อเคส เราจะต้องทำงาน 15 * 10,000 = 150,000 person.daysทุกวัน ดังนั้นเราต้องจ้าง 150,000 คน หากคุณต้องการที่จะครอบคลุมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ คุณอาจเพิ่มจำนวนเป็น 200,000 คนหรือมากกว่านั้น สมมติว่ามีค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวม $20 ต่อชั่วโมงนั่นคือ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี นี่เป็นราคาแพงทีเดียว แต่เปรียบเสมือนหยดน้ำหยดเดียวเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายของการปิดระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ลองนึกดูว่าเรามีผู้ป่วยใหม่เพียง 1,000 รายต่อวันแทนที่จะเป็น 10,000 คน ความต้องการคนของเราจะเหลือเพียง 20,000 คนต่อวัน
น่าเสียดายที่สถานการณ์สมมุติทั้งสองนี้ใช้เวลาสามวันเพราะแต่ละเคสต้องการคนห้าคนทำงานเป็นเวลาสามวัน
ลองนึกภาพว่าตอนนี้เรายังมีผู้ป่วยใหม่ 1,000 รายต่อวัน แต่ผู้ติดตามของเรานั้นมีประสิทธิภาพเหมือนในหวู่ฮั่นที่ทีมงาน 5 คนสามารถเคลียร์หนึ่งเคสได้ต่อวัน ด้วยเครื่องมือติดตามการพบปะ 5,000 คน (~7,000 รวมถึงวันหยุด ฯลฯ ) คุณสามารถครอบคลุมทุกเคสได้ภายในหนึ่งวันแทนที่จะเป็นสามวัน
ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงการประมาณ เป้าหมายคือต้องการเน้นวิธีคิดเรื่องนี้ ต้องการสนับสนุนให้ประเทศต่างๆทำการคิดจำนวนคนและลดต้นทุน และควรคิดลำดับความสำคัญ:
- มันยากมากที่จะพึ่งพาการสืบตัวผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยในขณะที่การแพร่ระบาดรุนแรง ด้วยผู้ป่วยใหม่ประมาณ 30,000 รายต่อวัน เหมือนที่สหรัฐฯมีเมื่อปลายเดือนเมษายน หากต้องการ 15 person.days พวกเขาต้องจ้างคนมากกว่า 500,000 คนเพื่อทำงานนี้ มันเป็นการยากมากที่จะทำงานนี้ให้ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หนึ่งในค่านิยมของระยะเวลาทุบด้วยค้อนคือการทำให้จำนวนเคสใหม่ลดลงเพื่อให้สามารถจัดการกับการสืบผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยได้
- นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าหากประเทศใดมีการระบาดของโรคอีกครั้งเช่นในสิงคโปร์หรือเกาหลีใต้ อาจจำเป็นต้องใช้ค้อนทุบในระดับท้องถิ่น เนื่องจากการระบาดเหล่านี้จะลดประสิทธิภาพในการตรวจสอบผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อ
- ทีมงานผู้สืบตาม 5 คนใช้เวลา 3 วันในการประมวลผลเคสหนื่งเคสนั้นช้าเกินไป การแพร่กระจายจำนวนมากจะเกิดขึ้นแล้วในระหว่างนี้
- เป็นไปได้ว่าผู้สืบตามจะไม่สามารถระบุตัวผู้พบปะกับผู้ป่วยทั้งหมดตามที่ต้องการ กระบวนการของทีมติดตามการพบปะสมาคมจาก Anchorage (จากภาพ) อาจเป็นผู้บุกเบิกในสหรัฐอเมริกาที่เพียงพอสำหรับรัฐอลาสก้า แต่ทำไม่ได้หากงานใหญ่กว่านี้ ทีมงานจะต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับรัฐอื่นที่ใหญ่กว่าหรือในประเทศส่วนใหญ่
ลองนึกภาพว่าบ๊อบ (จุดสีแดง, ติดเชื้อ) เป็นคนชอบสังคมและมีปฏิสัมพันธ์กับคน 55 คนในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับบ๊อบที่จะบอกผู้สืบตัวถึงสมาชิกในครอบครัวทั้งสี่ของเขา หลังจากดูปฏิทินของตัวเองบ๊อบอาจบอกผู้สืบตัวถึงเพื่อนร่วมงานแปดคนที่เขามีการประชุมด้วย เขาอาจจำได้ว่าเขาทานอาหารเย็นกับเพื่อนอีกสี่คนและเดินทางไปร้านขายของชำ
หลังจากดูกล้องวงจรปิด ผู้สืบตามสามารถดูการเคลื่อนไหวของบ๊อบที่ร้านขายของชำและระบุตัวผู้มีปฏิสัมพันธ์กับบ๊อบเพิ่มเติมอีกสองราย รวมเป็น 18 รายชื่อ เนื่องจากผู้ตรวจสอบไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของเพื่อนร่วมงานของบ๊อบ หรือคนที่ทำงานในร้านขายของชำ พวกเขาจึงต้องคุยกับนายจ้างของบ๊อบและร้านชำเพื่อขอรายชื่อคนเหล่านี้ ทั้งนี้บ็อบก็ต้องให้ความร่วมมือ
18 รายนี่น้อยกว่าครึ่งของคนที่บ๊อบพบปะด้วยทั้งหมดและน่าเสียดายที่ใช้เวลาถึง 3 วันในการตรวจสอบนี้ โปรดจำไว้ว่าเราต้องการ 70% ถึง 90% ของผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยทั้งหมดภายในหนึ่งวัน แต่ด้วยกระบวนการนี้เราต้องพึ่งพาความร่วมมือและความทรงจำของบ๊อบ เราเห็นได้ว่าทำแบบนี้ไม่พอ
ประเทศที่ทำสิ่งนี้ได้ดีจริงๆคือเกาหลีใต้ พวกเขาทำได้อย่างไร?
เทคโนโลยีสำหรับการสืบตัวผู้ที่พบปะสมาคมกับผู้ติดเชื้อ: ข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้ติดเชื้อ
ทีมงานสืบตัวผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยของเกาหลีใต้เข้าถึงข้อมูลใน GPS และข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้ติดเชื้ออย่างบ็อบ เมื่อมีข้อมูลนี้มันก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะรู้ว่าบ๊อบทำอะไรอยู่ที่ไหนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา (สี่เหลี่ยมสีเขียวบนแผนที่ข้างบน)
เมื่อบ๊อบมีข้อมูลช่วยรื้อฟื้นความจำ การระบุตัวผู้ที่พบปะกับบ๊อบก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะ และสามารถเติมฐานข้อมูลให้เต็มได้ด้วยข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่นระบบรถบัสหรือโรงยิม ด้วยเหตุนี้ ในสถานการณ์ที่เราสมมุติขึ้นนี้ เราจึงติดตามผู้มีการพบปะกับบ๊อบเพิ่มขึ้นได้จาก 18 ถึง 41 คน ยังไม่ถึง 55 แต่ได้ 75% ของคนทั้งหมดแล้ว ซึ่งจะทำให้งานสืบตัวของเรามีผลกระทบต่อการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงการประมาณ แต่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงในเกาหลีใต้ นี่คือวิธีที่พวกเขาทำ และพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการระบาดใหม่ทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่าการทำสิ่งนี้ให้ดีเพียงสิ่งเดียวอาจเพียงพอที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
นอกจากนี้ งานสืบตัวยังมีประโยชน์อื่นอย่างมากที่เรายังไม่ได้พูดถึง
จากบทที่หนึ่งของบทความของเรา: เรียนเต้นรำมาสเตอร์คลาส เราอธิบายวิธีที่เกาหลีใต้ลงข่าวว่าคนไข้ที่ติดเชื้อไปที่ไหนบ้างและในเวลาใด ประชาชนสามารถดูได้อย่างรวดเร็วว่าสถานที่ที่พวกเขาไปเคยมีการแพร่เชื้อหรือไม่ เพื่อทราบว่าพวกเขาอาจติดเชื้อหรือไม่ และไปให้หมอตรวจ
นอกจากนี้ผู้คนสามารถดาวน์โหลดข้อมูลนี้ไว้ในโทรศัพท์ และใช้แอปที่จับคู่ข้อมูลของทางการเกี่ยวกับสถานที่ที่มีการระบาดกับข้อมูลการเคลื่อนไหวของตนเอง ด้วยวิธีนี้ถ้าคุณมีหนึ่งในแอปเหล่านี้คุณสามารถรู้ได้ทันทีว่าคุณเจอใครบางคนที่ติดไวรัสหรือไม่
เพราะการใช้แอปนี้มีประโยชน์กับคุณทันที (“แอปสามารถบอกได้ว่า ที่ที่ฉันไปมีการแพร่เชื้อบ้างหรือไม่ ฉันอยากรู้!”) ผู้คนจึงมีแนวโน้มที่จะดาวน์โหลดและใช้แอป
การที่จะให้สิ่งข้างต้นทั้งหมดเป็นไปได้ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และข้อมูลความเคลื่อนไหวของผู้ติดเชื้อเช่นบ๊อบ
ถึงเวลาแล้วที่เราจะพูดถึงความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวกับการสืบตัวผู้มีการพบปะสมาคมกับผู้ป่วย
หมายเหตุ: เราได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวหลายคนในการเขียนหัวข้อนี้ แต่ข้อสรุปของเรายังไม่สิ้นสุด เรานำเสนอความคิดด้านล่างเพื่อให้มีการอภิปรายกันต่อไปในหัวข้อของการสืบติดตามผู้ที่พบปะกับผู้ติดเชื้อและความเป็นส่วนตัว และขอเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ มาอภิปรายแนวคิดเหล่านี้กับเรา
บางท่านอาจอ่านถึงตรงนี้และตอบโต้ทันทีว่า ยอมรับไม่ได้เพราะเป็นการละเมิดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของผู้คน ผลักดันรัฐบาลไปสู่การรวบรวมข้อมูล และการละเมิดความเป็นส่วนตัว
นี่คือการถกกันซื่งเราจะพูดถึงอีกทีในภายหลัง แต่มันไม่เกี่ยวข้องในสิ่งที่เราจะคุยกันตอนนี้: นักวิจารณ์ทั้งหลายอาจไม่ทราบว่าในหลายๆประเทศ กฎหมายไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพราะโรคนี้อาจเป็น โรคที่ต้องแจ้ง
ความเป็นส่วนตัวกับโรคที่ต้องแจ้ง
บ๊อบติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของชุมชน นั่นหมายความว่าสิทธิในความเป็นส่วนตัวของบ๊อบแตกต่างจากของผู้อื่น และเป็นแบบนี้มานานหลายศตวรรษแล้วในหลายประเทศเช่นสหราชอาณาจักรหรือฝรั่งเศส อีกหลายประเทศเช่นออสเตรเลียก็มีกฎหมายที่คล้ายกัน ในสหรัฐอเมริกาก็มีกฏหมายเหล่านี้ในระดับรัฐ
กฏหมายเหล่านี้สมเหตุสมผลดี เราอย่าลืมว่าโรคติดเชื้อเหล่านี้รุนแรงได้แค่ไหน
ในกราฟนี้เราเห็นได้ว่าอัตราการตายพุ่งสูงจากปีหนึ่งไปอีกปีหนึ่งเนื่องจากโรคระบาดในสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อมีการใช้มาตรการต่างๆ เช่นการน้ำสะอาดจากคลอรีน พีคแหลมๆในกราฟก็หายไปหมด
นี่คือลักษณะของโรคระบาดที่ไม่มีการควบคุม ในเวลานั้นเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าผู้ป่วยไม่มีสิทธิเช่นเดียวกับคนมีสุขภาพดี เพราะพวกเขาถือเป็นภัยคุกคามที่มีต่อสังคม การระบุและแยกพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงมีสิทธิ์ทำ
สิ่งนี้ยังคงเป็นจริงในทุกวันนี้สำหรับโรคมากมายหลายโรค แนวคิดที่เหมือนกันก็คือ: ถ้าคุณเป็นภัยคุกคามต่อสังคม หน่วยงานควรจะพร้อมที่จะกำจัดความเสี่ยงต่อสังคม
หากโคโรน่าไวรัสถูกระบุว่าเป็นโรคที่ต้องแจ้ง แพทย์จะต้องรายงานผลตรวจที่เป็นบวกต่อเจ้าหน้าที่ทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ใช้ทรัพยากรข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่เพื่อสืบตามผู้มีการพบปะกับบ๊อบ
สามขั้นตอนเหล่านี้ (เป็นโรคที่ต้องแจ้ง, กระบวนการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ, และการยกเว้นสิทธิความเป็นส่วนตัวในกรณีนี้) มักจะสอดคล้องกับกฎหมายสามชิ้นที่ต่างกันในทุกประเทศ ดังนั้นทุกประเทศจึงมีความเห็นแตกต่างกัน
สำหรับประเทศที่ส่งข้อมูลของบ๊อบไปยังหน่วยงานเรียกได้ว่าไม่ต่างจากการที่ตำรวจเข้าถึงข้อมูลโทรศัพท์มือถือหรือบัตรเครดิตเพื่อระบุตัวและค้นหาผู้ติดเชื้อ พวกเขาสามารถทำได้แล้วและควรทำได้ที่นี่ (สหรัฐ) โดยไม่ใช้กฏหมายหรืออำนาจพิเศษอย่างอื่น
ไม่ว่าจะมีวิธีแก้ปัญหาทางเทคนิคที่จะทำให้เข้าถึงข้อมูล GPS และบัตรเครดิตได้อย่างง่ายดายหรือไม่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ: ผู้สืบตามตัวผู้ที่พบปะกับผู้ติดเชื้อควรมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลประเภทนี้อยู่แล้ว การทำให้งานสืบตัวยากโดยไม่จำเป็นนั้นไร้สาระมาก
เท่าที่เราบอกได้ นี่คือระดับความเป็นส่วนตัวจากเกาหลีใต้ ดังนั้นอาจเพียงพอที่จะแก้ปัญหาได้ พวกเขาอนุมัติกฎหมายพิเศษสำหรับการนี้หลังจากการระบาดของโรคเมอร์สในปี 2558 ประเทศอื่นก็ควรทำได้เช่นกัน
ขอย้ำอีกครั้ง: นี่เป็นเครื่องมือที่มีค่ายิ่งสำหรับการหยุดยั้งการระบาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และไม่ควรต้องมีการถกเถียงเรื่องความเป็นส่วนตัวกันมากมาย เราควรให้ความสำคัญกับการทำงานที่เสร็จและสำเร็จผลมากกว่า
แต่เราทำได้มากกว่านี้ การถกเถียงเรื่องความเป็นส่วนตัวที่แท้จริงควรเกี่ยวกับเรื่องนี้: เจ้าหน้าที่ควรเข้าถึงข้อมูลจากผู้ที่ยังไม่ได้ติดเชื้ออย่างเป็นทางการหรือไม่?
ความเป็นส่วนตัวของผู้ที่ถูกสืบตาม
ตอนนี้ลองนึกภาพว่าที่ด้านบนของบัตรเครดิตและข้อมูลการเคลื่อนไหวจากบ๊อบ ผู้ติดตามในทีมของเราได้รับรายชื่อผู้ที่พบปะกับบ๊อบที่เชื่อถือได้จากผู้ให้บริการมือถือ
ผู้ให้บริการมือถือรู้ตำแหน่งของคุณได้ตลอดเวลา พวกเขาสามารถบันทึกข้อมูลนี้พร้อมกับข้อมูลของคนอื่นๆที่อยู่ใกล้คุณ และเมื่อใดก็ตามที่คนสองคนอยู่ใกล้กันในช่วงระยะเวลานึง เช่น 2m (6 ฟุต) นานกว่า 10 นาที ข้อมูลนี้ก็อาจถูกบันทึกได้ ประเทศที่มีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือหลักเพียงรายเดียวสามารถทำแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ประเทศที่มีผู้ให้บริการเครือข่ายหลายบริษัทสามารถสร้างฐานข้อมูลดังกล่าวร่วมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้แต่ละ บริษัทเห็นข้อมูลจากลูกค้าของบริษัทอื่น
รัฐบาลสามารถส่งคำร้องขอ เพื่อรับรายชื่อผู้มีการพบปะกับบ๊อบทั้งหมด รวมทั้งสถานที่และเวลาที่พบกันโดยไม่ทราบรายละเอียดเพิ่มเติมของประชากรส่วนที่เหลือ
ในการนี้จะมีผลบวกปลอม (False positives) หลายอย่างเช่น GPS สามารถบอกความสูงได้ แต่เป็นไปได้ที่ตัวเลขความสูงถูกกำจัดออกไปในขั้นตอนของกระบวนการข้อมูล เป็นผลให้ดูเหมือนว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในตึกอพาร์ทเมนต์เดียวกันกับบ๊อบ (อยู่ในแนวตั้งเดียวกัน) จะเป็นผู้มีพบปะกับบ๊อบ แต่ผู้สีบตามสามารถแยกสิ่งเหล่านี้ออกได้โดยกำจัดข้อมูลของผู้ที่ดูเหมือนอยู่บ้านคุณแต่ไม่ได้อยู่กับคุณ
ข้อมูลที่ให้กับรัฐบาลในสถานการณ์นี้เป็นข้อมูลที่เราต้องการให้รัฐบาลมีแน่นอน: เพียงข้อมูลการเคลื่อนไหวส่วนบุคคลของผู้ติดเชื้อ และการจับคู่ของข้อมูลกับผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อเท่านั้น ไม่มีใครมีข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของคนอื่นนอกจากนี้
ผู้ให้บริการมือถือไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าที่ได้รับตามธรรมดาอยู่แล้ว วิธีนี้จะรักษาความเป็นส่วนตัวในขณะที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการสีบตามผู้ที่พบปะสมาคมกับผู้ติดเชื้อ
ข้อเสียของการทำเช่นนี้คือ GPS ไม่แม่นยำเพียงพอ และอาจพลาดไม่รวมผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยบางรายออกไป หรือมีการระบุตัวว่าเป็นผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยทั้งๆที่ไม่มีการพบกัน เราทำ GPS ให้แม่นยำขึ้นได้หากกองทัพสหรัฐ (ข้อความส่วนนี้สำหรับประเทศอเมริกา) ตัดสินใจให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดเพิ่มเติมซึ่งมีอยู่แล้ว แต่กองทัพสหรัฐอาจไม่ต้องการเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ว่าความแม่นยำนั้นแย่มากจนการแก้ปัญหาแบบนี้ไร้ประโยชน์ หรืออาจแม่นเฉพาะกับพื้นที่ที่มีความหนาแน่นต่ำเท่านั้น เรายังไม่เห็นการวิเคราะห์ด้านนี้ในเชิงลึกและเราหวังว่าจะได้เห็นในอนาคต
ข้อจำกัดนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมหลายๆ ประเทศจึงใช้แอปบลูทูธกัน
สิ่งที่ต้องมีเพื่อให้แอป Bluetooth มีประโยชน์ในการสืบตามผู้มีการพบปะกับผู้ป่วย
สมมุติว่าตอนนี้ผู้สืบตามของเราสามารถเข้าถึงข้อมูลของบ๊อบ และนอกจากนั้นยังสามารถพึ่งพาข้อมูลการพบปะจากแอปบลูทูธที่มีอยู่ในตลาดได้ด้วย
หากคุณไม่คุ้นเคยกับแอปบลูทูธที่ใช้ในการสืบตัว วิธีที่คนส่วนใหญ่คิดคือให้คนดาวน์โหลดแอปและตั้งค่าเพื่อที่เมื่อพวกเขาเปิดใช้แอป แอปจะบันทึกรหัสของทุกคนที่เข้าใกล้โดยไม่ระบุตัวตน (เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว) ตราบใดที่คนเหล่านั้นเปิดใช้งานแอปที่คล้ายกัน นี่คือสิ่งที่ Apple และ Google ได้ตกลงที่จะเปิดใช้งานร่วมกัน
หากบ๊อบมีหนึ่งในแอปเหล่านี้เขาสามารถแจ้งได้ว่าเขาติดเชื้อโคโรน่าไวรัส และเขาต้องการส่งข้อมูลนี้ไปยังเจ้าหน้าที่
มีกี่คนที่ต้องการใช้แอปเช่นนี้?
หากคุณอ่านบทที่ 1 ของเรา คุณจะรู้ว่าแอปบลูทูธของทางการของสิงคโปร์ TraceTogether มี Penetration Rate (สัดส่วนการใช้จากจำนวนทั้งหมด ไม่มีรายละเอียดในบทความว่าสัดส่วนนี้มาจากจำนวนอุปกรณ์หรือจำนวนคนที่เป็นเจ้าของอุปกรณ์ จึงขอเรียกทับศัพท์ตามบทความดั้งเดิม) เพียง 20% ไอซ์แลนด์ซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ควรจะสามารถมีการใช้แอปนี้ในระดับสูงก็มี Penetration Rate เพียง 40% อินเดียเปิดตัวแอปที่ดาวน์โหลดโดยคน 50 ล้านคนซึ่งฟังดูราวกับว่าประสบความสำเร็จจนกระทั่งคุณจะรู้ว่าคนจำนวนนี้น้อยกว่า 4% ของประชากรอินเดีย
ถ้าเรามองโลกในแง่ดีมากๆ และคิดว่าประเทศส่วนใหญ่สามารถทำได้ดีกว่าสิงคโปร์ 50% — ไม่น่าเป็นไปได้เพราะคนสิงคโปร์ทุกคนมีสมาร์ทโฟน มีการศึกษาสูง และผู้คนเชื่อมั่นในรัฐบาล — ก็จะมีเพียง 30% ของประชากรสิงคโปร์ที่ดาวน์โหลดแอป
ในภาพข้างบน จุดที่มีวงกลมสีฟ้าอยู่รอบคือรายชื่อผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยที่ได้ดาวน์โหลดแอปบลูทูธ น่าเสียดายที่บ็อบไม่ได้ดาวน์โหลดแอปนี้ ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่มีค่าในสถานการณ์นี้ หาก Penetration Rate ของแอปเหล่านี้มีเพียง 30% เราก็จะเห็นแบบนี้ 70% ของทั้งหมด
โอเค ตอนนี้สมมุติว่าบ็อบเอาจริง ดาวน์โหลดแอป ไม่เพียงเท่านั้นบ๊อบยังขยันมากและมีการตั้งค่าแอป และเปิดใช้บลูทูธตลอดเวลา
ในกรณีนี้ผู้สืบตัวสามารถพบผู้ที่พบปะกับบ๊อบ 8 คน — ประมาณ 15% ของจำนวนผู้ที่พบปะกับบ๊อบทั้งหมดที่เราต้องการ ทำไมถึงได้น้อยนัก เพราะผู้ที่บ๊อบพบปะสมาคมด้วยเพียง 30% เท่านั้นที่มีแอป การที่บ็อบมีแอปหมายความว่าเขาตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้แอปและเพื่อนของเขาอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นเหมือนเขา ดังนั้นสมมุติว่า 40% ของผู้ที่มีการพบปะกับบ๊อบดาวน์โหลดแอป แต่หลายคนไม่เคยเปิดหรือไม่เคยตั้งค่าในแอป หรือทำทุกอย่างแต่ไม่ได้เปิดบลูทูธใช้งานเมื่อมาเจอกัน
ดังนั้นเราจะไม่มีข้อมูลอะไรเลยใน 70% ของการพบปะทั้งหมดเพราะบ๊อบไม่มีแอป แม้ว่าเขาจะดาวน์โหลดแอป เขาอาจไม่ได้เปิด หรือตั้งค่าหรือเปิดบลูทูธใช้งาน ลองจินตนาการดูว่ามีเพียง 50% ของผู้ที่ดาวน์โหลดแอปใช้แอปตามความมุ่งหมายของผู้สร้างแอป นั่นหมายถึง 85% ของการพบปะทั้งหมดผู้สืบตัวจะเจอแต่คนที่ไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามที่ต้องการ
สำหรับส่วนที่เหลือประมาณ 15% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีเพียง 15% ของผู้ที่ผู้ติดเชื้อพบปะด้วยเท่านั้นที่มีแอปพลิเคชันที่ทำงานอย่างถูกต้อง
โปรดจำไว้ว่าเราต้องการ 70% -90% ของผู้ที่บ๊อบพบปะด้วยเพื่อออกจากมาตรการรุนแรง (ฟาดด้วยค้อน) ไปยังการคลายมาตรการ (เต้นรำ)
ไม่ใช่เพียงแค่นี้ วิธีที่แอปทำงานในปัจจุบันผู้คนจำเป็นต้องรายงานอาการของตัวเองด้วยการส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังรัฐบาล ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจไม่ทำ
พลเมืองดีหลายคนจะทำเช่นนี้ แต่หลายคนจะไม่ทำ: หากพวกเขามอบข้อมูลให้ผู้ตรวจสอบผลลัพธ์ที่เป็นไปได้คือครอบครัวและเพื่อนๆทุกคนจะต้องถูกตรวจและถูกกักกันหลายคน หากสามีหรือเพื่อนของคุณเสี่ยงต่อการสูญเสียงานเนื่องจากพวกเขาต้องอยู่บ้านต่อไปอีกสองสัปดาห์คุณจะมอบข้อมูลนี้ให้รัฐบาลหรือไม่?
ดังนั้นคุณอาจสืบจำนวนผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยได้เพียงครึ่งเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าจะมีคนสักกี่คนที่จะทำสิ่งเหล่านี้ทุกอย่างในทุกขั้นตอน แต่หลังจากทำงานมานานกว่า 10 ปีในด้านการใช้งานผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี เราเดาอย่างมีความรู้ได้ดังต่อไปนี้:
คุณลองใช้โมเดลแบบง่ายๆดูได้ที่นี่
ข้อความข้างต้นเราอาจมองโลกในแง่ดีเกินไป และจำนวนรายชื่อผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อที่ส่งไปยังผู้สืบตัวจริงๆแล้วอาจมีเพียง 0.1% หรือเราอาจมองในแง่ร้ายและตัวเลขจริงคือ 5% หรือ 10% แต่ด้วยวิธีการที่พูดมานี้เรายังห่างจาก 70% -90% ที่เราต้องการมาก
แล้วเราจะต้องปรับปรุงอย่างไร? ขั้นแรกให้จินตนาการว่า Apple และ Google ได้กำลังอัปเดต Operating System (OS) อยู่ — แต่แทนที่จะต้องดาวน์โหลดแอป ทันทีที่คุณอัปเดต OS แอปจะทำงานอยู่ข้างหลังโดยอัตโนมัติ และทำให้เหมาะที่สุดที่จะได้รายชื่อผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อ ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้ เป็นไปได้ว่าคนประมาณ 50% จะอัปเดตระบบ OS นี่คืออัตราปกติภายในหนึ่งเดือน
สมมุติว่าแอปดังกล่าว บ๊อบยังคงต้องแจ้งรัฐบาลผ่านแอปว่าเขาติดเชื้อ เพื่อส่งรายชื่อผู้ที่พบปะกับเขาไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ สมมุติว่ายังมีเพียง 50% ที่แจ้ง
เรายังคงสืบตัวได้เพียงประมาณ 10% ของที่ผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อ! ก็ยังดี แต่ก็ยังไม่พอ เราทำให้ดีกว่านี้ได้ไหม คำตอบคือได้
สมมุติว่าตอนนี้การดาวน์โหลด OS เป็นไปโดยอัตโนมัติ ผู้ใช้อาจตัดสินใจที่จะไม่อัปเดต OS แต่ Apple และ Google เรียกร้องคุณอย่างหนักแน่นทุกวันเพื่อให้คุณอัปเดต OS
สมมุติว่าด้วยเนื่องจากบ๊อบเป็นโรคที่ต้องแจ้ง เขาจึงไม่มีโอกาสเลือกที่จะอัปโหลดรายชื่อผู้ที่เค้าพบปะสมาคมด้วย เมื่อผลการตรวจของเขาเป็นบวก มันจะถูกอัปโหลดให้เขา
มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนความแตกต่างอย่างมากระหว่างการเลือกเข้าร่วม (Opt-in) และการเลือกที่จะไม่เข้าร่วม (Opt-out)
ตัวอย่างจากการบริจาคอวัยวะ ความแตกต่างระหว่าง Opt-in และ Opt-Out อยู่ที่ ~ 15% และ ~ 99% ในการติดตามผู้ที่ผู้ติดเชื้อพบปะด้วย คนส่วนใหญ่จะไม่เลือกที่จะ Opt-out และถึงแม้พวกเขาเลือกที่จะ Opt-out เราสามารถผลักดันให้พวกเขาเลือกที่จะเข้าร่วม (Opt-in) ได้ เช่นขอคำยืนยันใหม่ทุกๆ สองสามชั่วโมงหรือขอให้พวกเขาตั้งค่าทุกสองสามชั่วโมงเพื่อยืนยันการไม่เข้าร่วม ไม่ใช่ทุกประเทศจะได้ Penetration Rate ถึง 99% เหมือนการบริจาคอวัยวะทั้งนี้เพราะเหตุผลทางการเมือง แต่ถ้าเราต้องการให้แอปเหล่านี้มีประโยชน์ วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำได้
ประเด็นที่เราพยายามเน้นก็คือ แอปเหล่านี้จะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อ Penetration Rate ของแอปสูงมากๆเท่านั้น และการตัดสินใจทุกอย่างของผู้ใช้จะทำให้เรตนี้ลดลงอย่างมาก แต่ถ้าเราทำได้ตามเป้า รางวัลจะเยี่ยมมาก
ทันทีหลังจากที่มีผู้ป่วย เจ้าหน้าที่อาจมีรายชื่อผู้พบปะที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (รวมทั้งผลบวกที่ผิดจำนวนมาก — false positives) การสัมภาษณ์บ๊อบจะเป็นเรื่องง่ายและเจ้าหน้าที่สามารถติดต่อไปยังผู้ที่พบปะกับบ๊อบได้ทุกคน
และมันก็ไม่ยากที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น จำประกาศที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้จาก Apple และ Google ได้ไหม ส่วนหนึ่งของคำประกาศคือพวกเขากำลังเปิดให้นักพัฒนาซอฟแวร์สร้างแอปบลูทูธที่สามารถโต้ตอบกันได้อย่างง่ายดาย แต่ต่อไปจะสร้างคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ใน OS โดยตรง และกำลังวางแผนที่จะทำแบบ Opt-in แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เข้มงวดขึ้นไปอีกโดยเปลี่ยนเป็นการบังคับใช้ในกรณีที่มีความต้องการที่ชัดเจนเพียงพอและรัฐบาลเรียกร้องให้ทำ
โปรดจำไว้ว่าประเด็นทั้งหมดนี้คือ เราต้องการให้งานสืบตัวการพบปะสมาคมของผู้ติดเชื้อได้ผลดีพอที่จะช่วยให้เราเปิดเศรษฐกิจได้อีกครั้ง — เปลี่ยนจากมาตรการลงค้อนมาเป็นการเต้นรำ — หากการไม่เข้าร่วมใช้แอป (Opt-out) ลดลงจาก 20% เหลือ 5% จำนวนผู้พบปะกับผู้ป่วยที่ตามได้ก็จะมากพอที่จะส่งผลดีกับงานสืบตัว
เราขอย้ำว่าตัวเลขทั้งหมดที่ใช้ในส่วนนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเลขจริง เราต้องการแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยของความสำเร็จที่สำคัญที่สุดสำหรับเทคโนโลยีการสืบตามการพบปะของผู้ติดเชื้อนั้นคือแอปต้องถูกใช้งาน
ทางเลือก — การใช้รหัส QR แทนแอป Bluetooth
แอปบลูทูธ (หรือฟีเจอร์ที่มีใน iOS หรือ Android) ไม่ใช่วิธีเดียวในการทำเช่นนี้ มีทางเลือกอื่นๆที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือรหัส QR เช่นที่ Zerobase กำลังสร้างขึ้น
เมื่อคุณเข้าสู่ตัวอาคาร คุณอาจต้องสแกนรหัส QR การสแกนจะเชื่อมโยงคุณกับสถานที่นั้นในเวลานั้น เช่นเดียวกับคนอื่นๆทุกคนในวันเวลาเดียวกัน รหัสเหล่านี้สามารถพิมพ์และแปะได้อย่างง่ายดายทุกที่: ทางเข้าอาคาร สถานีรถบัส รถไฟ … การติดตามสามารถทำได้ในลักษณะที่รักษาความเป็นส่วนตัว
ความแตกต่างกับแอป bluetooth ไม่ใช่เทคโนโลยี ทั้งคู่ดีมาก ความแตกต่างคือการบังคับใช้ เราสามารถบังคับให้ผู้คนสแกนรหัส QR ได้หากพวกเขาต้องการเข้าไปในอาคาร ด้วยวิธีนี้การไม่เข้าร่วมจะได้รับการรักษาไว้ (Opt-out คือเลือกที่จะไม่เข้าไปในอาคาร) แต่แรงจูงใจให้เลือกที่จะเข้าร่วม (Opt-in) นั้นสูงดี เราสามารถทำแอปบลูทูธได้ในทำนองเดียวกัน ถ้าอยากเข้าอาคารก็ต้องใช้แอป ถ้าทำดังนี้เราอาจได้ Penetration Rate ที่สูงพอ
แต่เรายังคงมีปัญหาในการรายงานตนเอง เราต้องการวิธีที่จะอัปโหลดสถานที่และตัวคนที่มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อไปยังเจ้าหน้าที่โดยอัตโนมัติหากบ๊อบถูกระบุว่าติดเชื้อ
เราพูดกันถึงข้อมูลจำนวนมาก ขอสรุปทางเลือกทั้งหมดของเราด้วยข้อดีและข้อเสีย
คุณคงเห็นได้ว่า เราเชื่อว่าแอปบลูทูธที่ต้องเลือกเข้าร่วม (Opt-in) นั้นไม่มีค่า รหัส QR ที่ไม่ได้บังคับใช้นั้นดีกว่าเล็กน้อยเพราะอย่างน้อยบ๊อบสามารถสแกนและบันทึกตำแหน่งที่เขาเคยไป แต่ถ้าไม่บังคับใช้ ผู้คนและธุรกิจก็จะไม่ใช้ ดังนั้นการบันทึกข้อมูลก็จะเกิดขึ้นน้อย
การติดตามผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยชนิดใช้แรงงานล้วนๆให้ผลดีมากขึ้นถัดไป เราจำเป็นต้องมีการสีบตัวแบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเราควรทำ แต่จะติดตามได้เพียงบางส่วนเท่านั้น และวิธีนี้จะใช้เวลา ความเป็นส่วนตัวของทั้งผู้ติดเชื้อและผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อจะถูกรบกวน
จากนั้น เรามีวิธีใช้เทคโนโลยีหลายอย่างที่ช่วยในการสืบหาผู้ที่ผู้ติดเชื้อพบปะด้วยอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูล GPS และบัตรเครดิตของบ๊อบ การจับคู่ข้อมูลจาก GPS ที่นำโดยผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ หรือการใช้แอปบลูทูธ สิ่งเหล่านี้จะให้ข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและไม่กระทบความเป็นส่วนตัวมากนัก
ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการบังคับใช้รหัส QR หรือแอปบลูทูธ ทั้งสองวิธีนี้ก่อให้เกิดการถ่ายโอนรายชื่อผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อในทันที ในขณะที่ยังรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างสมเหตุสมผล ทั้งนี้เพราะข้อมูลเดียวที่เจ้าหน้าที่ได้รับคือข้อมูลของบุคคลและผลของการจับคู่ข้อมูล รวมทั้งสถานที่และวันเวลาที่การพบปะเกิดขึ้น
สำหรับการแก้ปัญหานี้ เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลมากกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องติดตามการเคลื่อนไหวทุกเดือน ข้อมูลในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อมีคนได้รับการพิสูจน์ว่าติดเชื้อก็เพียงพอแล้ว
บางคนอาจไม่ชอบใจ แม้การลดความเป็นส่วนตัวเป็นไปอย่างจำกัด เรามาพูดถึงเรื่องนี้กันต่อไป
เราควรคิดถึงโคโรน่าไวรัสและความเป็นส่วนตัวอย่างไร
เรากลัว
ทุกอย่างในโลกที่เรารู้จักรอบตัวเราหายไปในชั่วข้ามคืน งาน ชีวิต เสรีภาพ มิตรภาพที่เราทุกคนรักกำลังถูกกักกัน
ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงสิ่งอื่นที่จะถูกยึดไปจากเรา เช่นความเป็นส่วนตัว เราจึงไม่ชอบ เราประท้วง เราไม่ต้องการสูญเสียสิ่งเหล่านี้ด้วย
เพราะเราเข้าใจว่างาน มิตรภาพ เสรีภาพจะกลับคืนมา แต่เรากลัวว่าถ้าเรายอมมอบความเป็นส่วนตัวของเราให้เจ้าหน้าที่ เราอาจไม่ได้มันคืนมา
เรากลัว 1984 (ผู้แปล: นวนิยายเขียนโดย George Orwell เกี่ยวกับการปกครองแบบเบ็ดเสร็จโดยรัฐบาลควบคุมความประพฤติของพลเมืองทุกคน)
เราต้องการหลีกเลี่ยงโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งทำให้รัฐบาลรู้การเคลื่อนไหวของเราทุกอย่าง ให้คะแนะความประพฤติเรา และในไม่ช้าคงบอกเราว่าเราควรคิดอย่างไร เราไม่ต้องการเหมือนประเทศจีน
นี่ไม่ได้เป็นแค่ฝันร้ายทางทฤษฎี ฮังการีเพิ่งก้าวลงสู่การปกครองแบบเผด็จการในใจกลางสหภาพยุโรปในขณะที่ผู้คนไม่สนใจ และสหรัฐอเมริกายังอยู่ภายใต้บัญญัติต่อต้านการก่อการร้าย (Patriot Act) ซึ่งได้รับการอนุมัติเมื่อ 19 ปีที่แล้วหลังเหตุการณ์ 9/11
ความกลัวเป็นสิ่งดีเพราะทำให้เราตื่นตัว ทำให้เราใส่ใจ ทำให้เราซาบซึ้งกับเสรีภาพที่เรามีและต่อสู้เพื่อปกป้องมัน เพราะถ้ามันหายไป เราอาจจะไม่ได้มันคืนมา
แต่ความกลัวนั้นต้องสมเหตุสมผล จะยอมให้มันครอบคลุมเราไม่ได้ เราต้องไม่ยอมเสียขวัญตื่นตระหนก
เราต้องมองปัญหาอย่างเฉยๆ แบ่งปัญหาออกเป็นชิ้นๆ และตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรอย่างมีเหตุผล
วิธีแรกที่เราแบ่งปัญหาออกคือการตระหนักว่า ในกรณีนี้เราไม่ได้ต้องการข้อมูลของทุกคน แต่ข้อมูลของคนกลุ่มเล็กๆสองกลุ่ม นั่นคือผู้ติดเชื้อและผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อ
ผู้ติดเชื้อนั้นมีสิทธิส่วนบุคคลที่แตกต่างกันอยู่แล้ว หลายประเทศมีกฎหมายเพื่อปฏิบัติต่อคนกลุ่มนี้แตกต่างจากคนที่ไม่ติดเชื้อ และเราต้องการให้พวกเขามีสิทธิที่แตกต่างออกไป เราต้องการให้มีผู้ติดเชื้อที่ไม่ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อลดผลกระทบของการแพร่ระบาดอย่างนั้นหรือ? การถกในจุดนี้อย่างเดียวไม่ควรเกินกว่าระดับความเป็นส่วนตัวที่คนกลุ่มนี้ควรได้รับอนุญาตให้มี
ข้อเสนอทั้งหมดในที่นี้ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลที่เราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อคือสถานที่ที่ผู้ติดเชื้อไปในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปกับใคร และพบกับใคร การถามพวกเขาโดยตรงเป็นสิ่งที่บกพร่อง การรับข้อมูลนั้นผ่าน GPS ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือแอปบลูทูธแบบบังคับใช้มีความน่าเชื่อถือและรวดเร็วกว่า
สำหรับผู้ที่พบปะกับผู้ติดเชื้อ สิทธิความเป็นส่วนตัวของพวกเขาควรจะสูงขึ้นเล็กน้อย เราไม่ต้องการข้อมูลจากบัตรเครดิตหรือข้อมูลการเคลื่อนไหวทั้งหมด เราแค่อยากรู้ว่าคนเหล่านี้คือใครและปฏิสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับคนที่ติดเชื้อ: เกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และนานเท่าไหร่ เราต้องการข้อมูลนั้นในช่วงสองถึงสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเท่านั้น ข้อมูลดังกล่าวสามารถรวบรวมได้ผ่านแอปบลูทูธหรือ รหัส QR แบบบังคับใช้ รายงานจากผู้ให้บริการมือถือ เท่านี้ก็พอ รัฐบาลไม่จำเป็นต้องรู้มากกว่านี้
รายการข้อจำกัดของข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ควรรวบรวมมีดังนี้คือ:
- ข้อจำกัดของข้อมูล: สำหรับผู้ที่ติดเชื้อเราจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่พวกเขาไป พบกับใคร ที่ไหน และใช้เวลาด้วยกันนานเท่าไหร่ สำหรับผู้ที่ผู้ติดเชื้อไปพบด้วย เราต้องการรู้เพียงแค่มีการพบปะกันที่ไหน เมื่อไหร่ และนานเท่าไหร่
- ข้อจำกัดของเวลา: ข้อมูลที่จะเข้าถึงได้คือภายในสามสัปดาห์ก่อนหน้าการตรวจพบการติดเชื้อเท่านั้น ข้อมูลก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะถูกลบ
- ข้อจำกัดการเข้าถึงข้อมูล: มีเพียงกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานระดับภูมิภาคหรือเทียบเท่าเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่รวบรวมได้ ภายใต้กระบวนการทางกฎหมายจากบริษัทเอกชนหรือโดยผู้ตรวจสอบและโดยการสัมภาษณ์ ควรมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ว่าใครบ้างภายในกระทรวงสาธารณสุขที่เข้าถึงข้อมูลได้ มีการตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลอย่างระมัดระวังโดยติดตามทุกครั้งที่พนักงานเข้าถึงข้อมูล
- ต้องมีความปลอดภัยของข้อมูล: ข้อมูลที่ทำให้ช่วยในการระบุตัวบุคคล Personally identifiable information (PII) ทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองให้เข้มงวดตรงกับมาตรฐานทางการแพทย์
- ต้องมีกฏเกณฑ์การยกเลิกที่ชัดเจน: เราต้องการข้อมูลนี้เฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคเท่านั้น คำจำกัดความของ“ โรคระบาด” จำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์และระบุไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่นเมื่อประชากรมากกว่า 70% มีภูมิคุ้มกันทั้งจากการฉีดวัคซีนและการมีภูมิคุ้มกันฝูงชน (Herd immunity) ระบบรวบรวมข้อมูลจะถูกปิดโดยอัตโนมัติและข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้จะถูกทำลาย
- ต้องมีกระบวนการทางกฏหมาย: ประชาชนต้องขอความช่วยเหลือต่อศาลได้ หากรัฐบาลใช้ข้อมูลนอกเหนือจากเจตนาเดิม หรือหากบทสรุปที่ผู้ตรวจสอบรวมความไว้ไม่ยุติธรรมหรือไม่เพียงพอ
- ต้องมีความโปร่งใส: ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมควรมีการเปิดเผยอย่างชัดเจนต่อสาธารณะ ทั้งนี้โดยไม่รวมถึงข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ทั้งหมด (PII) เช่นชื่อหรือที่อยู่
ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการปกป้องข้อมูลสถานที่ ตัวอย่างเช่นเรายกการดำเนินการติดตามผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อทั้งหมดให้บริษัทหรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร พวกเขาสามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้ เราอาจไม่อนุญาตให้คนเลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูล แต่อนุญาตให้เลือกได้ว่าจะให้ข้อมูลกับใคร
วิธีที่สองในการมองปัญหานี้คือจากดูจากมุมมองของข้อมูลที่เราไม่ต้องการให้รัฐบาลมี คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะยินยอมให้รัฐบาลได้ข้อมูลของผู้ติดเชื้อในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการคือรัฐบาลที่จะรู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกเขา
แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว
ไม่เพียงแต่ข้อมูลมากมายมหาศาลที่มีอยู่แล้วในหน่วยงานรัฐบาลบางประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาใน IRS, DHS, FBI และหน่วยงานอื่นๆ หากแต่บริษัทเอกชนก็มีข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้อยู่แล้วเช่นกัน
(ผู้แปล: นี่คือองค์กรของรัฐบาลสหรัฐ: IRS = Internal Revenue Service องค์กรเก็บภาษี, DHS = Department of Homeland Security หน่วยงานความมั่นคง, FBI = Federal Bureau of Investigation หน่วยตำรวจสืบสวนของรัฐบาลกลาง)
ตามที่ New York Times รายงาน บริษัทหลายสิบบริษัท — หรืออาจมีเป็นร้อยๆบริษัท — ที่รวบรวมและขายข้อมูลส่วนบุคคลมากกว่าที่เราต้องการในการหยุดโรคระบาด บริษัทเช่น Google, Apple, Waze, Uber, IBM, Kiip, TheScore, Facebook และอีกมากมายรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหนและไปที่ไหนตลอดเวลา และหลายบริษัทขายข้อมูลเหล่านี้
บริษัทต่างๆเปิดเผยว่าพวกเขารู้ข้อมูล 5,000 จุดต่อผู้ใช้ นั่นอาจมากกว่าที่คุณรู้เกี่ยวกับตัวเองเสียอีก บางครั้งข้อมูลดังกล่าวจะถูกขายโดยไม่เปิดเผยชื่อ แต่ก็มีวิธีที่ทำให้เปิดเผยชื่อได้โดยไม่ยากนัก (De-anonymize)
ดังนั้นเรากำลังถกเถียงกันว่าจะแบ่งปันข้อมูลจำนวนเล็กน้อยกับบริษัท เอ็นจีโอ หรือรัฐบาลที่น้อยกว่าที่เราสามารถซื้อออนไลน์ได้ และเราควรห่วงข้อมูลเหล่านั้นมากกว่าข้อมูลเรื่องคุณพบบ๊อบเพื่อทานอาหารกลางวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
วิธีที่สามที่เราสามารถแก้ปัญหานี้คือการตระเตรียมทางเลือกของเราไว้ก่อน ระบบบางอย่างที่อธิบายไว้ในที่นี้อาจยังมีการถกเถียงกันอยู่ อย่างไรก็ตามเราอาจต้องการสร้างระบบเหล่านี้ในตอนนี้โดยยังไม่อนุมัติใช้ หากเรารอเป็นเดือนๆเพื่อให้การการถกเถียงยุติลงและทันใดนั้นมีการระบาดของโรคเกิดขึ้นใหม่อีก เราอาจต้องตัดสินใจว่าจะปิดตัวเศรษฐกิจหลายล้านล้านดอลลาร์ลงหรือเราจะเปิดสวิตช์ใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งเราจะมีทางเลือกนี้หากเรามีเทคโนโลยีที่พร้อมใช้ หากเราต้องการใช้งานแอปบลูทูธแบบบังคับใช้ เราจำเป็นต้องสร้างแอปเดี๋ยวนี้เพื่อให้มีตัวเลือกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ท้ายที่สุดเราควรมองความเป็นส่วนตัวในบริบทของสิทธิ์อื่นๆที่เราสูญเสียไปแล้ว เราเสียสุขภาพไปแล้ว เสียเศรษฐกิจไปแล้ว เสียอิสรภาพไปแล้ว หากเราสามารถนำสิ่งเหล่านี้กลับมาโดยเสียความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย เราจะไม่พิจารณาทางเลือกนี้หรือ แพคเกจมูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐที่อนุมัติในสหรัฐอเมริกาเทียบเท่ากับ $10,000 ต่อคนอเมริกันผู้ใหญ่หนึ่งคน คุณแน่ใจหรือว่าคุณต้องการจ่าย $10,000 มากกว่าการให้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยกับรัฐบาล นี่คือข้อมูลที่คุณให้กับ FourSquare อยู่แล้วทุกวันนี้
โดยสรุป เราเพียงต้องการแบ่งปันข้อมูลเล็กน้อยของคนเพียงไม่กี่คน น้อยกว่าสิ่งที่เปิดเผยต่อสาธารณชนหรือรัฐบาลอยู่แล้วในทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อที่เราจะได้สุขภาพ เศรษฐกิจ อิสรภาพ และชีวิตของเรากลับคืนมาอีกครั้ง
มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้โดดเดี่ยว เราถูกสร้างมาให้เต้นรำ
บทความส่วนนี้ดึงความคิดและแหล่งที่มาจากงานวิจัยของ @Genevieve Gee ที่เกี่ยวกับการสีบตามการพบปะของผู้ติดเชื้ออย่างมาก