เรียนเต้นรำบทที่ 5 โคโรน่าไวรัส: การป้องกันการเพาะเชื้อและการแพร่เชื้อ

Ken Mallikamas
8 min readMay 20, 2020

--

เราควรจำกัดการเดินทางหรือไม่? ควรปิดเทศกาลดนตรีหรือไม่ ควรปิดโรงเรียนหรือไม่? เราควรเปิดธุรกิจอะไร กิจกรรมทางสังคมใดบ้างที่ควรได้รับอนุญาตให้เปิด

นี่คือบทที่ 5 ของบทความ เรียนเต้นรำ (บทที่ 1, บทที่ 2, บทที่ 3, บทที่ 4 ยังไม่ได้ตีพิมพ์ ณ วันที่ 19 พค. 2563) ซึ่งจะมีทั้งหมด 6 บทด้วยกัน

ในบทความทั้งหมดนี้เราเจาะลึกเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ประเทศต้องทำเพื่อเข้าสู่ระยะเวลาเต้นรำ เพื่อเปิดเศรษฐกิจโดยไม่ให้เกิดการระบาดใหม่

…………………………………………………………………………………

ผู้เขียนบทความภาษาอังกฤษ Tomas Pueyo

แปลเป็นไทยโดย Ken Mallikamas

ใช้เวลาอ่านประมาณ 30 นาที อ่านไปคิดไปนานกว่านี้

ลิงค์จาก Twitter อาจไม่ขึ้นให้เห็นถ้าใช้ Safari ถ้าใช้ Chrome จะไม่มีปัญหานี้

…………………………………………………………………………………

ประเทศต่างๆกำลังเปิดเมืองอีกครั้ง หลายประเทศต้องการเลียนแบบความสำเร็จของเกาหลีใต้หรือไต้หวัน ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสามารถทำได้ด้วยการตรวจที่ดีและการสืบตามผู้พบปะกับผู้ป่วย ด้วยการแยกตัวผู้ป่วยและการกักกัน และด้วยการบังคับใช้หน้ากากที่ทำเอง การมีสุขอนามัยทั่วไปที่ดี การแยกตัวบุคคล (Physical distancing) และการให้ความรู้ต่อสาธารณชน

มาตรการเหล่านี้ล้วนมีความเสียหายน้อยมากเมื่อเทียบกับการปิดเศรษฐกิจ แต่มันเพียงพอหรือไม่ในการจำกัดโรคระบาด? เราจำเป็นต้องปิดโรงเรียนหรือไม่? ธุรกิจล่ะ? เทศกาลดนตรี? การท่องเที่ยว? มีมาตรการอื่นๆ ที่อาจทำความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากกว่าแต่จำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อควบคุมไวรัสหรือไม่?

มาดูข่าวร้ายกันก่อน:

  • การชะลอการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเป็นเวลาหลายเดือนอาจเป็นสิ่งที่จำเป็น
  • กิจกรรมใหญ่เช่นงานแสดงสินค้าหรือคอนเสิร์ตจะต้องปิดตัวลงในตอนนี้

ส่วนข่าวดีคือ:

  • เราควรจะเดินทางเที่ยวเดียว หรือเดินทางไกลได้
  • มีหลายวิธีที่เราสามารถเร่งเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง
  • เราอาจจะเปิดโรงเรียนได้อีกครั้ง
  • คำสั่งที่ชัดเจนกำลังเกิดขึ้นว่าธุรกิจอะไรควรเปิดได้ ธุรกิจที่สำคัญที่สุดที่ควรเปิดให้บริการคือธนาคาร ร้านขายของชำ และร้านขายสินค้าชนิดสินค้าทั่วไป และที่สำคัญน้อยที่สุดคือร้านกาแฟ ร้านขายขนมหวาน และโรงยิม

โอเคนะ เรามาเริ่มกันเลย

ลองนึกภาพว่าประเทศของคุณใช้ค้อน (มาตรการขั้นเด็ดขาดในการจำกัดโรคระบาด) ได้ดีพอสมควรและตอนนี้ก็พร้อมที่จะเริ่มเต้นรำแล้ว (ยกเลิกมาตรการระยะลงค้อนและเริ่มเปิดเมืองเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง) บางพื้นที่อาจยังอยู่ในสภาพกักกัน แต่เศรษฐกิจของพื้นที่ส่วนที่เหลือกำลังเปิดอย่างช้าๆ เจ้าหน้าที่กำลังใช้ความระมัดระวัง: มีการบังคับใช้การสวมหน้ากาก คนที่พบปะสมาคมกับผู้ป่วยทั้งหมดถูกตามตัว คนป่วยทั้งหมดถูกแยกออกโดยให้อยู่ในห้องพักของโรงแรม และมีการใช้โทรศัพท์มือถือติดตามความเคลื่อนไหวในการบังคับการกักกัน

ประเทศของคุณมีเป้าหมายสองอย่าง:

  1. ปกป้องพื้นที่ที่ปลอดภัยจากการติดเชื้อจากพื้นที่ที่มีการระบาด เราจะเรียกเป้าหมายนี้ว่า “การป้องกันการเพาะเมล็ด (หรือเพาะเชื้อ Seeding)” ของเคสใหม่
  2. ป้องกันไม่ให้เมล็ดโรคเหล่านี้พัฒนาไปสู่การระบาด เราเรียกเป้าหมายนี้ว่า “การป้องกันการแพร่กระจาย (Spreading)”

ประเทศต่างๆจะต้องป้องกันทั้งการเพาะและการแพร่กระจายของเชื้อ

จะป้องกันการเพาะเชื้อได้ คุณต้องจำกัดการเดินทาง

จะป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อได้ คุณจำเป็นต้องมีข้อจำกัดในการชุมนุมรวมตัวของประชาชน

เนื่องจากประเทศที่เร่ิมเปิดส่วนใหญ่เริ่มอนุญาตให้มีการชุมนุมทางสังคมอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะคุยกันเรื่องการแพร่กระจายก่อน หลังจากนั้นเราจะวกมาคุยกันถึงการเพาะเชื้อจากการเดินทาง

กิจกรรมของมนุษย์ที่โคโรน่าไวรัสชอบมาก

ผู้หว่านเชื้อระดับซุปเปอร์ (Super Spreader)

ดังที่เราได้เคยเล่าไปแล้ว คุณอาจเคยได้ยินเรื่องผู้หว่านเชื้อระดับซุปเปอร์จากเกาหลีใต้:

ที่มา: Reuters

ผู้ป่วยเพียงคนเดียว หรือที่รู้จักกันในนาม “ผู้ป่วยเบอร์ 31” แพร่เชื้อให้คนอื่นกว่า 5,000 คน นี่นับเป็นเคสส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้ในขณะนั้น แม้ในกลางเดือนพฤษภาคม ตัวเลขนี้ยังคงนับเป็นกว่า 40% ของเคสในเกาหลีใต้ทั้งหมด และนี่ยังไม่นับการแพร่กระจายทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นจากเคสนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากบุคคลนี้ไม่ก่อให้เกิดการระบาดนี้ เกาหลีใต้อาจไม่มีการระบาดเลยเช่นเดียวกับไต้หวัน

คุณอาจเคยได้ยินว่าการระบาดนี้เกิดจากผู้ป่วยเบอร์ 31 ไปโบสถ์ที่ใหญ่โตมโหฬารสองครั้ง สิ่งที่คุณอาจไม่ทราบคือพิธีกรรมในโบสถ์นั้นมีลักษณะอย่างไร

ที่มา: พิธีกรรมในคริสตจักร ชินชอนจี

ที่คริสตจักรแห่งนี้ คนหลายพันคนนั่งชิดกันเป็นเวลานาน มีการห้ามมิให้สวมแว่นตาหรือหน้ากาก มีการร้องเพลง และสวดมนต์เสียงดัง ทางวัดบังคับให้คนเหล่านี้เข้าร่วมพิธีกรรม ถึงแม้จะป่วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้ป่วย 31 จึงยังไปโบสถ์สองอาทิตย์ติดกันในขณะที่ป่วย

ในบทที่ 2 ของบทความชุดนี้ เราอธิบายว่าไวรัสแพร่กระจายผ่านหยดของสารคัดหลั่งและฝอยละอองของสารคัดหลั่งที่ถูกขับออกจากร่างกายของผู้ป่วยไม่ใช่โดยการไอเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการร้องเพลงหรือแม้แต่การพูด นอกจากนี้เรายังพูดถึงการที่ไวรัสชอบพื้นที่ที่ไม่กว้างขวางที่คนใช้ร่วมกันเป็นเวลานานและมีความใกล้ชิดกันทางร่างกาย

สภาพแวดล้อมของโบสถ์ใหญ่แห่งนี้ตรงตามข้อกำหนดทั้งหมดที่เพิ่มอัตราการแพร่เชื้อ — มีการพูดคุย ร้องเพลง และอยู่ในที่อับอากาศเป็นเวลานานใกล้ชิดกัน — โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากไม่มีใครได้รับอนุญาตให้สวมหน้ากากหรือแว่นตา

ดังที่เราได้เห็นในบทที่ 1 มีบางสิ่งคล้ายกันที่เกิดขึ้นในหอพักที่สิงคโปร์

เพื่อเป็นการเตือนความจำ นี่คือภาพจากหอพักหลัก ถ่ายหลังจากปิดตัวของสิงคโปร์

นี่ก็เหมือนกัน นี่คือสถานที่ที่อัดผู้คนจำนวนมากไว้ในบริเวณเล็กๆ และอาจมีการพูดคุยกันเยอะ

แรงงานอพยพในห้องพักที่หอพัก WestLite Toh Guan ในสิงคโปร์…รูปถ่าย: EPA… ที่มา: เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ อย่างที่คุณเห็น การแพร่กระจายอาจไม่ใช่ความผิดของผู้ใช้แรงงาน แต่เป็นผลจากสภาพความเป็นอยู่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ตัวอย่างอื่นๆของการแพร่กระจายของโคโรน่าไวรัสในงานสังสรรค์มีมากมาย เช่น คณะนักร้องประสานเสียงในรัฐวอชิงตัน ที่ซึ่งผู้คนร้องเพลงเสียงดังใกล้กันเป็นเวลานาน ผลก็คือ 45 จาก 60 คนป่วยหมด

กว่า 4,000 คนติดเชื้อทั่วยุโรปผ่านอาจเกิดจากบาร์เทนเดอร์ใน Ischgl ซึ่งเป็นกิจกรรมหลังจากการเล่นสกีโดยทั่วไป

พื้นที่ในเยอรมันนีแถวๆเมือง Gangelt ได้รับความทุกข์ทรมานจากการแพร่เชื้อสู่คน 1,500 คน หลังจากงานรื่นเริงซึ่งผู้คนต่างพากันพูดคุยร้องเพลงและจูบแก้มกัน

นี่คือภาพถ่ายจากงาน

ที่มา: ภาพถ่ายโดย Heinz Eschweiler

การระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนีก็เกิดขึ้นเพราะเทศกาล เขตุ Tirschenreuth ของเยอรมันนีมีผู้ป่วย 600 รายมีผู้ป่วยต่อจำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศหลังจากการเฉลิมฉลองเบียร์

รายการของตัวอย่างยาวขึ้นเรื่อยๆ:

  • ที่หาดบอนไดในซิดนีย์ มีผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 30 คนหลังจากเข้าร่วมงานเต้นรำที่แออัดในคืนก่อนที่การชุมนุมมากกว่า 500 คนขึ้นไปจะถูกห้าม
  • ในฝรั่งเศสการเฉลิมฉลองสี่วันที่คริสตจักร Porte Ouverte Christian Church มีผู้ร่วมนมัสการ 2,500 คน มีการติดเชื้อจำนวนมาก และมีการระบาดต่อทั่วประเทศรวมถึง 250 คนที่ทำงานในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Strasbourg และ 263 รายใน Corsica ที่ติดเชื้อ
  • เกมฟุตบอลในเดือนกุมภาพันธ์ระหว่างทีมอตาลันต้าจากอิตาลี จากแบร์กาโม และแวเลนเซียของสเปน เป็นการเพาะเมล็ดโรคระบาด แบร์กาโมซึ่งเป็นเมืองที่มีการระบาดใหญ่ที่สุดในอิตาลีแห่งหนึ่ง
  • แม้ในกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ ซึ่งมีการจัดการโคโรน่าไวรัสที่ดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง บาร์และคลับ 2,100 แห่งถูกปิดในกลางเดือนพฤษภาคมหลังจากมีผู้ติดเชื้อเพียงรายเดียวที่เข้าคลับห้าแห่งในช่วงสุดสัปดาห์และแพร่เชื้อสู่คนอย่างน้อย 100 คน ขณะนี้มีการสืบตามผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อมากกว่า 1,900 คน

การแพร่เชื้อไม่ได้จำกัดเฉพาะการเฉลิมฉลองที่ใหญ่ๆเท่านั้น

งานแต่งงาน งานศพ และงานฉลองวันเกิด เป็นบ่อเกิดของ 10% ของการแพร่กระจายในระยะแรกในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่นชายคนนี้จากชิคาโกแพร่เชื้อให้คน 16 คนในงานศพและ 3 คนในจำนวนนี้เสียชีวิตในภายต่อมา ผู้คนที่ไปร่วมในกิจกรรมประเภทนี้มักจะใช้เวลาร่วมกันหลายชั่วโมง มีการสัมผัสกัน กอด พูดคุย ในงานปาร์ตี้ 50 คนนี้ มีผู้ติดเชื้อกว่าครึ่งและบุคคลเหล่านี้แพร่กระจายไวรัสไปทั่วสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก

งานหว่านเชื้อระดับซุปเปอร์เหล่านี้เกิดขึ้นในโลกธุรกิจเช่นเดียวกัน

มีการระบาดในโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์อย่างน้อย 115 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนงานอย่างน้อย 5 พันคน

ที่มา: พนักงานโรงงานบรรจุเนื้อในสหรัฐ

การประชุม Biogen ในบอสตันเมื่อต้นเดือนมีนาคมก่อให้เกิดการติดเชื้อประมาณ 100 คนและแพร่กระจายไวรัสไปยังหกรัฐ ที่โรงงานปลาในประเทศกานามีคนงานแพร่เชื้อสู่เพื่อนร่วมงานกว่า 500 คน

การแพร่เชื้อไม่จำกัดเฉพาะผู้ใช้แรงงานเท่านั้น พนักงานศูนย์ Call Center แพร่เชื้อสู่เพื่อนร่วมงาน 100 คน (~ 45%) ในเกาหลีใต้

ที่มา

บอกลาสำนักงานแบบเปิดได้เลย

ทั่วทุกมุมโลก — เราเห็นรูปแบบเดียวกันนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า: การอยู่ใกล้ชิดกัน ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ร้องเพลง พูดคุย เต้นรำ กอดจูบ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆในพื้นที่ที่จำกัด … รูปแบบที่สอดคล้องกับโมเดลของการติดเชื้อส่วนใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นผ่านหยดหรือฝอยละอองของสารคัดหลั่งโดยการไอ การพูดคุยหรือร้องเพลง เราไม่เคยได้ยินเรื่องการระบาดที่มาจากโรงภาพยนตร์ซึ่งคนส่วนใหญ่เงียบและอยู่ในที่นั่งของตัวเองตลอดเวลา

บทความทางวิทยาศาสตร์ (pre-print) นำโดย @Carl Juneau, PhD ตรวจสอบบทความนับร้อยและสรุปผลได้ว่า สำหรับการระบาดของไข้หวัดใหญ่นั้นหลักฐานไม่บ่งชัด แต่ดูเหมือนว่าชนิดและจังหวะของกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่เราพบคือไข้หวัดใหญ่มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายในกิจกรรมที่มีความยาว แออัด และเกิดขึ้นในร่ม งานวิเคราะห์อีกชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่าการจำกัดการชุมนุมขนาดใหญ่เพื่อป้องกันการแพร่ของไข้หวัดนั้นมีประโยชน์เพียงแค่ก่อนหรือในช่วงเริ่มต้นของการระบาดเท่านั้น นี่คือคำอ้างอิงที่เกี่ยวข้องจากสิ่งพิมพ์ล่าสุด:

“หลักฐานที่ดีที่สุดที่มีอยู่บ่งบอกว่ากิจกรรมที่ยาวหลายวัน มีการพักอาศัยร่วมกันอย่างหนาแน่น มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุดกับความเสี่ยงเพิ่มของการระบาด การรวมตัวกันเป็นจำนวนมากไม่เหมือนกันทั้งหมดและควรประเมินความเสี่ยงเป็นกรณีๆ ไป” Nunan และ Brassey (มีนาคม 2563) มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด

ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าการยกเลิกกิจกรรมสามารถลดการติดเชื้อ COVID − 19 ลงได้ 35% Sugishita et al (มีนาคม 2020 ยังไม่มี Peer review)

ศจ. Ferguson et al จาก Imperial College เชื่อว่าการจำกัดกิจกรรมสาธารณะช่วยลดอัตราการแพร่ระบาดประมาณ 12.5%

จากหลักฐานทั้งหมดนี้ มันชัดเจนมากยิ่งขึ้นทุกวันว่าโคโรน่าไวรัสชอบการชุมนุมทางสังคมและพื้นที่ที่แออัด นี่ยิ่งเป็นจริงหากเราพบปะกับผู้คนใหม่ๆจำนวนมาก สำหรับใครที่รักความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่และการได้พบผู้คนใหม่ๆ อาจถูกบังคับให้ลืมงานแบบนี้ต่อไปในหลายเดือนข้างหน้า

เครือข่ายสังคม

บทความอีกชิ้นหนึ่งวิเคราะห์การแพร่กระจายของโรคติดเชื้อในกลุ่มสังคม ยิ่งกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด การติดเชื้อก็จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งกลุ่มเร็วขึ้นเท่านั้น

ลองดูเส้นสีเขียวที่บอกว่า n = 20 ซึ่งแสดงถึงกลุ่มคน 20 คน เส้นนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่ออัตราการแพร่ของไวรัสเพิ่มขึ้น สัดส่วนของบุคคลในกลุ่มที่ติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และอัตราการแพร่ก็มากกว่าของกลุ่มประชากรปกติ (เส้นประด้านล่าง) กลุ่มคน 100 คนส่วนใหญ่จะติดเชื้อแม้จะมีอัตราการติดเชื้อต่ำ

มาเปรียบเทียบคอนเสิร์ตดนตรีที่มีคนไป 10,000 คนกับนักเรียนในห้องเรียน 20 คน ในคอนเสิร์ตมีความเป็นไปได้สูงกว่าที่จะมีผู้ติดเชื้ออย่างน้อยหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละคนจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมาก ในขณะที่ห้องเรียนอย่างมากก็มีแค่ 20 คน และยิ่งไปกว่านั้นผู้คนในคอนเสิร์ตไม่รู้จักกัน พวกเขามาจากกลุ่มสังคมที่แตกต่างกัน ดังนั้นไวรัสอาจแพร่กระจายไปทั่วทุกกลุ่มเหล่านี้ โดยคนที่ไปคอนเสิร์ตจะนำไวรัสกลับไปยังกลุ่มของตัวเอง ในทางกลับกันห้องเรียนเป็นการชุมนุมของคนกลุ่มเดียวกันเสมอ หากมีคนได้รับเชื้อการติดเชื้อส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ในกลุ่มนั้น

การชุมนุมของคนกลุ่มใหญ่แย่กว่าการชุมนุมเล็กๆอย่างมากในด้านของการแพร่เชื้อ

ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การวิจัยที่ดีอาจทำให้เราเข้าใจได้ว่าการชุมนุมทางสังคมส่งผลมากแค่ไหนต่อการแพร่กระจายของโคโรน่าไวรัส สำหรับตอนนี้ สิ่งที่เราคาดเดาได้คือ:

  • ควรหลีกเลี่ยงการสังสรรค์หากผู้คนจำนวนมากอยู่ใกล้กัน ร้องเพลง พูดคุยกัน หรือพบปะคลุกคลีกัน
  • การพบปะกันในขนาดพื้นที่ที่จำกัดและอยู่ในร่มจะทำให้เกิดการระบาดมากกว่ากิจกรรมที่เกิดขึ้นกลางแจ้ง
  • ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานแค่ไหนนั้นสำคัญ ช่วงเวลาสั้นๆอาจจะโอเค เป็นชั่วโมงๆอาจไม่โอเค
  • การผสมกลุ่มทางสังคมที่แตกต่างกันนั้นแย่มาก
  • ในทางกลับกัน กิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กที่ผู้คนไม่ได้พูดคุยหรือโต้ตอบกันอาจจะปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรวมใช้กับมาตรการอื่นๆ เช่นการใช้หน้ากาก การเว้นระยะห่างทางกาย และการรักษาสุขอนามัยโดยทั่วไปที่ดี

เราจะใช้ความเข้าใจเหล่านี้เพื่อตัดสินใจว่าจะอนุญาตกิจกรรมประเภทใดได้อย่างไร?

ข้อจำกัดในการชุมนุม: ป้องกันการแพร่กระจาย

เราสามารถสร้างกฎง่ายๆขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น:

  • โรงภาพยนตร์หรือคอนเสิร์ตเพลงคลาสสิกอาจปลอดภัยกว่าคอนเสิร์ตร็อคมาก ในกรณีแรกมีคนจำนวนจำกัดนั่งใกล้กัน แต่แทบจะไม่โต้ตอบกันและไม่คุยกัน และยังสามารถใช้หน้ากากได้ด้วยหากจำเป็น อาจจัดให้นั่งห่างกัน 6 ฟุต ในคอนเสิร์ตร็อคขนาดใหญ่มันยากที่จะไม่ร้องเพลง เคลื่อนที่ไปมา หรือโต้ตอบกับผู้คนรอบตัวคุณ
  • โรงเรียนหรือการประชุมธุรกิจขนาดเล็กที่เจอคนกลุ่มเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก มีความปลอดภัยมากกว่างานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ การเดินทางเพื่อธุรกิจ หรืองานกีฬาใหญ่ๆ หากใครบางคนติดไวรัสในเครือข่ายโรงเรียน สมาชิกหลายคนอาจติดเชื้อเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้แพร่กระจายไปยังสถานที่อื่นนอกเครือข่ายนั้น
  • หากคุณมีกำลังจะมีงานแต่งงาน ควรยกเลิกหรือเลื่อนออกไปก่อน หรือไม่ก็ทำพิธีเล็กๆในที่โล่งที่ซึ่งผู้คนสวมหน้ากาก อย่ากอดกัน และหลีกเลี่ยงการพูดคุยกันให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะใกล้ เนื่องจากการทำสิ่งเหล่านี้ในงานแต่งงานนั้นเป็นเรื่องยากมาก การเลื่อนงานออกไปก่อนจึงปลอดภัยกว่า แต่ถ้าหากคุณจัดงานแต่งงาน ควรบอกญาติผู้ใหญ่และพี่น้องของคุณว่าคุณรักพวกเขามาก แต่พวกเขาไม่ควรมาด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งทดแทนที่ดี แต่ภายใต้สถานการณ์ในวันนี้ การชุมนุมทางวิดีโอเป็นทางเลือกทางเดียวที่ปลอดภัย

ทั้งหมดข้างต้นเป็นข้อสรุปในช่วงแรกที่ทำจากหลักฐานที่ยังมีน้อยนิดในปัจจุบัน ข้อสรุปเหล่านี้จะเปลี่ยนไป แต่คุณสามารถนึกภาพได้ว่าการชุมนุมนั้นมีความเสี่ยงแค่ไหน สิ่งที่เราพยายามทำคือประเมินจำนวนการติดเชื้อที่จะเกิดขึ้นในกิจกรรมต่างๆในสถานที่ต่างๆ

หมายเหตุ: ตัวเลขเหล่านี้มาจากการคาดเดาทุกสิ่งที่เราอ่าน เราแน่ใจว่าผิดแน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องตัดสินใจในวันนี้ นี่คือการเดาแบบมีความรู้ เราหวังว่าสิ่งนี้จะกระตุ้นการวิจัยใหม่ๆที่จะให้ตัวเลขที่เหมาะสมได้

ตารางข้างบนนี้ประเมินจำนวนการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ เราจะเห็นได้ว่าการดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อสู่คนเพียงคนเดียวในขณะที่การจัดงานใหญ่อาจทำให้มีการติดเชื้อ 20,000 คน

ความเสียหายจากการอนุญาตให้มีการชุมนุมทางสังคมเป็นเพียงด้านเดียวของสมการ อีกด้านหนึ่งคือผลประโยชน์จากการชุมนุม

ความเสียหายและผลประโยชน์ (Cost-Benefit) ของการชุมนุมสังสรรค์

เมื่อคุณรู้ถึงความเสียหายสำหรับแต่ละกิจกรรมแล้ว — ซึ่งความเสียหายในที่นี้หมายถึงการติดเชื้อ — คุณสามารถคำนวณผลประโยชน์สำหรับแต่ละกิจกรรมได้ และนำความเสียหายมาเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้จากการชุมนุม

เมื่อคุณมีข้อมูลที่เอามาเปรียบเทียบได้ สิ่งนี้ที่สะท้อนถึงความเป็นจริง คุณสามารถสรุปได้หลายอย่าง:

  1. เมื่อเราดูข้อมูลของความเสียหายและผลประโยชน์ของการชุมนุมแล้ว เราจะสรุปได้ว่ากิจกรรมนั้นๆมีมูลค่าสมควรพอจะได้รับการอนุญาตหรือไม่ ตัวอย่างเช่นในโอเปร่ามีมูลค่า $33k ต่อการติดเชื้อหนึ่งคน (Value per infection) นี่คือมูลค่าสูงสุดต่อบุคคลสำหรับทุกกิจกรรมในตัวอย่าง (ขอเน้นอีกครั้งว่าตัวเลขเหล่านี้ผิดแน่นอน เราทำตัวเลขเหล่านี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวอย่างเท่านั้น) แต่ค่าใช้จ่ายต่อการติดเชื้อหนึ่งคนสำหรับสังคมของเราคืออะไร หากระบบสาธารณสุขของเรามีค่าใช้จ่ายเพียง $10,000 ต่อการติดเชื้อหนึ่งคน (Cost per infection) เราควรอนุญาตให้โอเปร่า โรงละคร โรงภาพยนตร์ และการประชุมใหญ่เกิดขึ้น แต่เราไม่ควรอนุญาตให้กิจกรรมบางอย่างเช่นงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ คอนเสิร์ตดนตรี หรือกิจกรรมอื่นๆที่มีมูลค่าต่ำกว่า $10,000 ต่อการติดเชื้อหนึ่งคนเกิดขึ้น
  2. เราจะคิดถึงมูลค่าอื่นๆนอกจากค่าทางการเงินได้อย่างไร? เช่นมูลค่าทางจิตวิทยา ทางจริยธรรม หรือทางกฎหมาย
  3. สิ่งนี้ควรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อความชุกของโรคระบาด (สัดส่วนของประชากรที่ติดเชื้อ) เปลี่ยนแปลงไป? ต้องมีการระบาดน้อยแค่ไหนกว่าเราจะสามารถเริ่มเปิดกิจกรรม? สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละภูมิภาค? เราสามารถเปิดกิจกรรมในพื้นที่ที่มีเคสน้อยได้หรือไม่? เราสามารถเปิดกิจกรรมประเภทใดได้บ้าง?
  4. เราจะมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงของกิจกรรมทุกประเภทได้อย่างไร? เราบังคับให้คนสวมหน้ากากได้หรือไม่? เราบังคับให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเพียงไม่กี่คนได้หรือไม่?
  5. มูลค่าต่อคนของการติดเชื้อเหล่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าต่อคนของการติดเชื้อที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วผลคืออะไร?

การอนุญาตให้มีกิจกรรมเหล่านี้อาจคุ้มค่าหากมีมาตรการควบคุมที่ดี

ตัวอย่างเช่นหากมีการบังคับใช้การสแกนรหัส QR ในการเข้าร่วมกิจกรรมและผู้คนจำเป็นต้องเปิดใช้งานบลูทูธตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูลของผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกัน หากเราพบว่ามีคนติดเชื้อในภายหลังเราสามารถสืบตามคนอื่นๆได้ ติดต่อคนเหล่านี้เพี่อเรียกตรวจ และแยกตัวหรือกักกันถ้าจำเป็น และมีการตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายที่ทางเข้า สิ่งนี้สามารถลดจำนวนการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ (แต่อาจน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง) หากคุณสามารถประสบความสำเร็จในการทำให้คนสวมหน้ากาก กิจกรรมของคุณอาจเป็นที่ยอมรับ

“ดีไม่มีตำหนิ (Perfect)” คือศัตรูของ “ดี (Good)”: ทำไมเราจึงต้องมีกรอบความคิดที่ไม่แม่นยำ

สิ่งนี้อาจฟังดูยากและไม่แน่ชัดมากๆ ดังนั้นจึงควรหยุดสักครู่ ถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่ง และตระหนักว่าทำไมเราถึงควรทำเช่นนี้

ผู้มีอำนาจตัดสินใจส่วนใหญ่คาดเดาสิ่งทั้งหมดนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทำคณิตศาสตร์อย่างเป็นทางการแต่ก็คำนวณในแนวนี้อยู่ในหัว สิ่งที่เรากำลังทำคือดึงความคิดนี้ออกจากศรีษะของพวกเขา และอนุญาตให้ผู้คนอภิปรายโดยการใช้ภาษา

เมื่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักการเมืองรวมตัวกันเพื่อตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้มีฝูงชนขนาดใดรวมตัวกัน คุณคิดว่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นแบบไหน มันก็คือการวัดความเสียหายและผลประโยชน์นั่นแหละ แม้พวกเขาอาจไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้

“หากเราปิดกั้นกิจกรรมที่มีผู้คนมากกว่า 1,000 คน แปลว่าเรากำลังห้ามกีฬา งานออกร้าน และงานดนตรีมากมาย นี่เป็นเรื่องยากนะ”

“ถูกต้อง แต่กิจกรรมเหล่านี้คือกิจกรรมที่ทำให้เกิดการติดเชื้อมากที่สุด”

“แล้วจะมีคนตกงานกี่คนล่ะ”

“คุณควรคิดว่าคุณป้องกันชีวิตได้กี่ชีวิต”

คุณค่าของการคำนวนผลประโยชน์และความเสียหายอย่างเป็นทางการนั้นไม่ได้มาจากความแม่นยำของตัวเลข และเป็นไปไม่ได้ที่จะคำนวนได้อย่างแม่นยำจากข้อมูลที่เรามี แต่คุณค่าของความคิดแนวนี้คือการเอาอคติ ข้อมูล ความรู้ความเข้าใจ เป้าหมาย ปัญหา และแนวทางแก้ไขไว้ในที่แห่งเดียวกัน วางลงต่อหน้าทุกคน แล้วเอาสิ่งเหล่านี้มาถกกัน เมื่อทำดังนี้ เราจะสามารถคุยกัน อภิปราย และเข้าถึงการคาดเดาที่ดีที่สุดได้ว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับสังคม

เราควรเปิดหรือปิดธุรกิจใด

นักวิจัยกำลังใช้วิธีนี้เพื่อพิจารณาว่าธุรกิจใดควรเปิดก่อน:

ที่มา หมายเหตุ: คำนวนอันตรายโดยคำนึงถึงจำนวนการเข้าชม (Number of Visits) จำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกัน (Number of Unique Visitors) และจำนวนชั่วโมงของการเข้าชม (Person-hours) ที่สูงกว่าเกณฑ์ความหนาแน่น ดังนั้นธนาคารจึงค่อนข้างปลอดภัยเพราะมีคนไปไม่กี่คน คนที่ไปมีแนวโน้มที่จะเป็นหน้าเดิมๆ และไม่ได้ใช้เวลาในธนาคารมากมาย ในทางกลับกันผู้คนจำนวนมากและหลายหลากไปยิมและร้านกาแฟ พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นนาน — ในกรณีของร้านกาแฟมีการคุยกันมาก — ความสำคัญของกราฟนี้มาจากการสำรวจว่าธุรกิจเหล่านี้มีความสำคัญสำหรับคนแค่ไหน และความมั่งคั่งที่ธุรกิจเหล่านี้สร้างขึ้นจากการจ้างงานและรายรับ โปรดทราบว่าการประเมิณนี้ไม่สมบูรณ์แบบเพราะไม่ได้รวมการสนทนา หรือการร้องเพลง โมเดลต่อไปควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้รวมทั้งสิ่งอื่นๆด้วย เช่นหลักฐานเชิงประจักษ์ต่างๆ (Empirical evidence)

จากการวิเคราะห์นี้ (ซึ่งดูข้อมูลจริงต่างๆ เช่นการเคลื่อนไหวของบุคคล ความชอบของผู้บริโภค และสถิติของรัฐบาล) ธนาคารและร้านขายของชำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเปิดให้บริการในขณะที่โรงยิมหรือร้านกาแฟควรปิด ข้อมูลนี้ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เรานำความคิดแนวนี้มาใช้ในการจัดอันดับการเปิดธุรกิจได้:

  • หากถูกปิดไปแล้ว ธนาคาร บริษัทการเงิน ร้านขายของชำ และร้านขายสินค้าประเภทสินค้าทั่วไป ควรเป็นธุรกิจแบบแรกที่เปิด
  • หลังจากนั้นเปิดห้างสรรพสินค้า วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ร้านเสื้อผ้า ร้านรองเท้า ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และร้านซ่อมรถ
  • ถัดไปจะเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน ร้านอิเล็กทรอนิกส์ ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ร้านฮาร์ดแวร์ สถานที่สักการะ (วัด โบสถ์ สุเหร่า) คาสิโน ร้านจำหน่ายอุปกรณ์สำนักงาน และโรงภาพยนตร์
  • ถัดไปคือสวนสนุก ร้านหนังสือ พิพิธภัณฑ์ ร้านขายสัตว์เลี้ยงและอาหารสัตว์เลี้ยง และร้านขายเหล้าและยาสูบ
  • ร้านสุดท้ายที่เปิดควรเป็นร้านขายเครื่องกีฬา ยิม ร้านกาแฟ และร้านขายของหวาน

งานวิเคราะห์นี้ยืนยันประเภทของธุรกิจที่ประเทศต่างๆได้จัดลำดับความสำคัญไว้แล้วแบบใช้การสังหรณ์ใจแม้จะมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์

แบบจำลองเช่นนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่นเราไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปเรื่องในร้านอาหาร จริงอยู่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดควรเปิดให้บริการก่อนร้านอาหารประเภทอื่นเพราะลูกค้าใช้เวลาน้อยและพูดคุยน้อยกว่า แต่บทความนี้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถเปิดร้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้พิจารณาถึงอันตรายใหญ่หลวงที่เพิ่มขึ้นเมื่อร้านอาหารมีผู้คนนั่งเผชิญหน้ากันเป็นเวลานาน พวกเขายังไม่ได้พิจารณาถึงวิธีแบบสร้างสรรค์ที่ธุรกิจสามารถปรับตัวเพื่อเปิดใหม่ได้อย่างปลอดภัย ยกตัวอย่างเช่นโรงยิมสามารถจำกัดการเข้า จัดระเบียบพื้นที่ใหม่ รักษาระยะห่างระหว่างคน 6 ฟุต และ/หรือมีคนในทีมงานรักษาพื้นที่ทั้งหมดให้สะอาดตลอดเวลาเหมือนในโรงยิมในคลิปนี้

ธุรกิจอาจมีข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงเวลาทำการพิเศษสำหรับลูกค้าสูงวัย…นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น และท้ายที่สุดคำถามที่กว้างขึ้นอาจไม่ใช่ “ควรอนุญาตเปิดธุรกิจใด” แต่คือ “จะเปิดธุรกิจอย่างปลอดภัยได้อย่างไร”

ครอบครัวและการเดินทาง

ในประเทศจีนนอกมณฑลหูเป่ย ประมาณ 80% ของการติดเชื้อ มาจากครอบครัวและความใกล้ชิดในครัวเรือน นี่เป็นผลกระทบจากการกักบริเวณในบ้านเนื่องจากการชุมนุมจำนวนมากถูกจำกัด นี่แสดงให้เห็นถึงการแพร่กระจายของไวรัสในครอบครัวว่ามากแค่ไหน

ในความใกล้ชิดเหล่านี้ ความเสี่ยงสูงสุดคือการส่งผ่านไปยังคู่สมรส: 28% ของพวกเขาติดเชื้อเมื่อเทียบกับ 17% สำหรับผู้ใหญ่คนอื่นๆในครัวเรือน และเพียง 4% ของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

เราอาจสรุปข้อมูลนี้ได้ดังนี้:

  • หากเราหยุดการติดเชื้อที่บ้านได้ อาจส่งผลอย่างมากต่อการแพร่ระบาดของโรค
  • คุณไม่น่าจะติดไวรัสจากคนทั่วไปตามถนน
  • คุณมีแนวโน้มที่จะติดโรคจากคู่สมรสของคุณ ลูกๆ ผู้ปกครองหรือเพื่อนที่คุณไปหา

การเดินทางผ่านนั้นมีผลกระทบเช่นกัน แม้จะไม่ชัดเจนว่าเกิดจากการเดินทางกับสมาชิกในครอบครัวหรือได้รับเชื้อระหว่างการเดินทางจากคนอื่น

ดังนั้นเราควรปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัวของเราด้วยความระมัดระวัง พยายามหลีกเลี่ยงการใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับสมาชิกของความครัวที่มีความเสี่ยง โทรหาพวกเขาแทน หากใครมีอาการให้ลองแยกคนคนนั้นออก เป็นการยากที่จะทำเช่นนี้กับสมาชิกในครอบครัว แต่ทางเลือกอื่นอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยมากขึ้นได้ อาจทำให้ต้องไปโรงพยาบาล หรืออาจนำความตายมาสู่ ดังนั้นหากใครมีอาการ ต้องหลีกเลี่ยงการจูบ กอด หรือแม้กระทั่งการพูดคุยแบบตัวต่อตัวโดยไม่ต้องสวมหน้ากาก

ขอขอบคุณ Dr. Muge Cevik สำหรับเอกสารต่างๆที่คุณรวบรวมมาสำหรับส่วนนี้ของบทความ

เราควรทำอย่างไรกับโรงเรียน

บทบาทของเด็กในการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสนั้นไม่ชัดเจน เด็กมีโอกาสแค่ไหนที่จะติดและแพร่เชื้อโคโรน่าไวรัส มันส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไร

ในด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าเด็กจะติดเชื้อน้อยกว่า และหากติดก็จะไม่ตาย หรือแพร่เชื้อสู่คนอื่นมากนัก ผลก็คือดูเหมือนว่าการปิดโรงเรียนจะมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการจำกัดการแพร่กระจายของไวรัส แต่ในอีกด้านหนึ่งเราไม่แน่ใจ เพราะประเทศส่วนใหญ่ปิดโรงเรียน ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเปรียบเทียบ แต่มีข่าวใหม่เกี่ยวกับอาการเฉพาะในเด็กที่ติดเชื้อและมีการรายงานการระบาดของโรคในสถานเลี้ยงเด็ก

ประเทศหนึ่งที่ปิดโรงเรียนในไม่กี่ภูมิภาคและเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็คือออสเตรเลีย ซึ่งในตอนนี้ก็ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้แล้ว

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียได้รับคือการให้โรงเรียนเปิดต่อไปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการแพร่กระจายของไวรัสมากนัก มันอาจจะดีกว่าปิดโรงเรียนเสียอีกเนื่องจากเด็กๆจะไม่แพร่เชื้อไปยังกลุ่มสังคมอื่นๆ (ถ้าแพร่ก็จะแพร่สู่ห้องเรียน / โรงเรียนเป็นส่วนใหญ่) และอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครองที่จะสามารถทำงานที่บ้านได้

ผลกระทบต่อการศึกษาคืออะไร? เรารู้ว่านักเรียนที่สูญเสียการศึกษาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีรายได้ลดลงอย่างรุนแรงตลอดชีวิต ทุกวันนี้การศึกษาที่เพิ่มขึ้นหนึ่งปีจะเพิ่มรายได้ต่อปีขึ้น 10% นอกจากนี้การปิดโรงเรียนยังส่งผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำอย่างมากเนื่องจากเด็กๆจากครอบครัวที่ร่ำรวยได้รับการสนับสนุนมาก ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจนอย่างน้อยก็ได้กินที่โรงเรียน อยู่บ้านอาจไม่มีอาหารพอกิน

จากทั้งหมดที่กล่าวมาการเปิดโรงเรียนใหม่อย่างระมัดระวังน่าจะเป็นความคิดที่ดี นิตยสาร The Economist ชี้ให้เห็นถึงคำสั่งที่สมเหตุสมผล:

  1. เริ่มด้วยเด็กเล็ก….เปิดสถานเลี้ยงดูเด็กเล็ก, โรงเรียนอนุบาล, และโรงเรียนประถม เด็กๆ เหล่านี้กำลังเรียนรู้มากที่สุด และได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากโคโรน่าไวรัส ผู้ปกครองของเด็กเล็กได้รับการบรรเทามากที่สุดเพราะจะทำงานที่บ้านได้อย่างสงบ และอายุของพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลดความไม่เท่าเทียมกันผ่านการเรียนรู้และโภชนาการ
  2. ดำเนินการขั้นต่อไปกับเด็กโต โดยเฉพาะเด็กที่มีการสอบที่สำคัญ พวกเขาสามารถปฏิบัติตามแนวการแยกตัวบุคคล (Physical distancing) ได้มากที่สุดและอนาคตของพวกเขาอาจเสียหายมากกว่าเด็กวัยอื่น
  3. ต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อของเด็ก เช่นการตรวจสอบอุณหภูมิร่างกาย การตรวจครู (และตรวจเด็กด้วยถ้าเป็นไปได้) การลดขนาดชั้นเรียน และการเข้าเรียนที่แบ่งออกเป็นกะหรือสลับวัน

วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างจากโรงเรียน สถาบันเหล่านี้รวบรวมคนจำนวนมากจากเครือข่ายสังคมที่แตกต่างกัน นักเรียนใช้เวลาด้วยกันในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นสูงที่พวกเขาสัมผัสและพูดคุยกัน นี่คือความเป็นจริงในเกือบทุกด้านของชีวิตของนักเรียนวัยนี้ จากห้องเรียนไปถึงการเรียนด้วยกันเป็นกลุ่ม หอพัก หรือปาร์ตี้ นักศืกษามหาวิทยาลัยมีอายุมากกว่าเด็กเล็กจึงไวต่อการติดเชื้อไวรัสมากขึ้น และพวกเขาสามารถเรียนแบบออนไลน์ได้มากกว่า

ผลก็คือวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมีความเสี่ยงสูงกว่าโรงเรียนและมีข้อดีในการเปิดน้อยกว่า ถึงกระนี้มหาวิทยาลัยก็มีข้อต้องคำนึง หากไม่เปิดเรียนในเทอมหน้าฤดูใบไม้ร่วง (ในสหรัฐและยุโรป) พวกเขาจะสูญเสียรายได้ครึ่งปี หากเปิดออนไลน์เท่านั้น ก็จะทำให้ดูเหมือนว่าการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยไม่เป็นประโยชน์อย่างที่พวกเขาเคยพูด และจะเป็นการยากที่จะถอยกลับหากพวกเขาสามารถยอมรับนักเรียนได้อย่างอิสระในวิทยาเขต

สิ่งนี้น่าจะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับโรงเรียนที่สอนออนไลน์อย่างเดียว ในขณะที่มหาวิทยาลัยบางที่มีปัญหาทางการเงินอยู่แล้วอาจเปิดสอนอีกได้ยาก

นี่คือเหตุผลที่สถาบันการศึกษาเหล่านี้กระตือรือร้นที่จะเปิดในฤดูใบไม้ร่วงนี้ และจะทำทุกอย่างที่จะลดการแพร่ระบาดเพื่อเปิดวิทยาเขตอีกครั้ง

มหาวิทยาลัยเหล่านี้อาจเปิดเรียนได้เนื่องจากนักศึกษาสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบแยกตัวบุคคล (Physical distancing) มหาวิทยาลัยอยู่ในฐานะที่จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อจำกัดการแพร่กระจายของไวรัสได้ เช่นบังคับใช้แอปสมาร์ทโฟนทุกคนในมหาวิทยาลัย การสีบตามผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อ การแยกตัวผู้ป่วย และการกักกัน

สรุปข้อจำกัดในการชุมนุมสังสรรค์

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้:

  • ส่วนใหญ่โคโรน่าไวรัสแพร่กระจายภายในอาคาร สถานที่เล็กๆซึ่งผู้คนใช้เวลามากร่วมกันในการพูดคุย ร้องเพลง หายใจ หรือสัมผัสกัน
  • กิจกรรมใหญ่รวมกลุ่มที่หลายหลากเข้าด้วยกันนั้นมีความเสี่ยง และควรถูกจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานโชว์สินค้าหรืองานแฟร์ของธุรกิจต่างๆ และงานเทศกาลดนตรี ในขณะที่โรงภาพยนตร์และโอเปร่าอาจโอเค ถ้ามีการแยกตัวของบุคคล (Physical distancing) ที่ได้ผล
  • เราควรสับหลีกการเปิดธุรกิจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร้านขายของชำ ธนาคาร บริการด้านการเงิน และร้านค้าที่ขายสินค้าแบบทั่วไป ธุรกิจที่ควรเปิดหลังสุดคือโรงยิม ร้านกาแฟ ร้านขนมหวาน บาร์ และคลับ
  • สถานที่ทำงานที่มีความหนาแน่นสูงเป็นสูตรสำหรับภัยพิบัติของการแพร่เชื้อ ต้องใช้มาตรการแยกตัวบุคคล เช่นการใช้สิ่งขั้นกลาง (Physical barriers) การตรวจสอบอุณหภูมิร่างกาย การทำงานเป็นกะ การทำงานที่บ้าน หรือการทำงานในที่แจ้งหากเป็นไปได้
  • ระวังครอบครัวให้มาก คุณมักจะติดไวรัสจากคู่ของคุณ ผู้ใหญ่ คนอื่นๆในบ้าน หรือเพื่อนๆ ความเสี่ยงมากที่สุดคือที่บ้าน หรือระหว่างการเดินทาง หลีกเลี่ยงการพบปะญาติผู้ใหญ่ และแยกตัวเองออกให้มากที่สุดหากมีอาการ
  • การเปิดโรงเรียนอีกครั้งเป็นสิ่งที่สำคัญขั้นต้น ควรระมัดระวัง และเริ่มกับเด็กที่อายุน้อยก่อน

ทุกประเทศจะต้องป้องกันการเพาะเชื้อ และการแพร่กระจายของเชื้อ

เราได้คุยกันถึงวิธีหยุดโคโรน่าไวรัสไม่ให้แพร่กระจายในชุมชนโดยการจำกัดการชุมนุมสังสรรค์ ต่อไปเราต้องแน่ใจว่าเราจะไม่เพาะเชื้อในซุมชนของเราโดยการนำเชื้อเข้าจากนอกประเทศ ต่อไปเรามาดูข้อจำกัดการเดินทางกัน

ส่วนนี้ของบทความได้รับอิทธิพลอย่างมากจากงานของคุณ Barthold Albrecht เราขอขอบคุณมาในที่นี้

ข้อจำกัดในการเดินทาง: ป้องกันการเพาะเชื้อ

ผลกระทบของการจำกัดการเดินทางในเอเชียตะวันออก

อย่างที่เราเห็นกันมาแล้วในบทที่ 1 ของซีรี่ย์นี้ สิงคโปร์ทำหลายสิ่งอย่างถูกต้อง เต้นรำได้เกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่จากนั้นคนงานจากต่างประเทศได้เพาะเชื้อโคโรน่าไวรัส และก่อให้เกิดการระบาด ข้อจำกัดในการเดินทางที่หละหลวมทำให้โรคระบาดปะทุขึ้นอีก การขาดข้อบังคับใช้หน้ากากทำให้ไวรัสกระจายตัว และการขาดข้อจำกัดของขนาดการชุมนุมทำให้เกิดกิจกรรมการชุมนุมที่หว่านเชื้อแบบกว้างขวาง (Super-spreader events)

สิงค์โปร์เป็นประเทศที่ควบคุมเมล็ดพันธุ์เชื้อโรคจากจีนได้ดีในช่วงต้น จากในกราฟ คุณเห็นได้ว่าเมล็ดสีฟ้าสองสามเมล็ดในเดือนมกราคมหยุดโตหลังจากมีการห้ามนักท่องเที่ยวจากจีน แต่สิงคโปร์ช้าเกินไปในการหยุดนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ เช่นอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน และเยอรมนีในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคม และหลังจากนั้นจึงห้ามมีการเข้าจากสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ผลก็คือเคสจากเมล็ดสีฟ้าเหล่านี้ไม่กี่เมล็ดสร้างการระบาดใหญ่ในประเทศ (สีชมพู) หลังจากนั้น

ในทางกลับกันที่เราเห็นได้ในบทที่ 1 ไต้หวันออกกฏห้ามการเดินทางเข้าประเทศเร็วมาก และมีการปรับกฏเหล่านี้ทุกวัน ไต้หวันสั่งห้ามนักเดินทางจากหวู่ฮั่นในวันที่หวู่ฮั่นประกาศล็อคดาวน์ และขยายรวมคนจีนทั้งหมดในอีกสองสัปดาห์ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ในวันที่ 14 มีนาคมนักท่องเที่ยวชาวยุโรปทุกคนต้องถูกกักกันเป็นเวลาสองสัปดาห์เมื่อเดินทางมาถึง และขยายไปถึงผู้เข้าประเทศทั้งหมดในอีกสามวันต่อมา เมื่อถึงวันที่ 19 มีนาคมชาวต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในไต้หวันทั้งหมดก็ถูกห้ามเข้าประเทศ ในวันที่ 18 เมษายนเป็นต้นไปห้ามมิให้มีการเดินทางที่ไม่จำเป็นและนักเดินทางทุกคนจะต้องถูกกักกันตนเองเป็นเวลา 14 วัน

เกาหลีใต้มี “การห้ามการเดินทางชนิดกลับด้าน” เพราะการแพร่ระบาดครั้งแรกของเกาหลี 171 ประเทศได้ออกคำสั่งห้ามประชาชนของตนเดินทางไปและกลับจากเกาหลีใต้ ต้องขอ “ขอบคุณ” ต่อการระบาดในเกาหลีใต้ครั้งนี้เพราะกำจัดศักยภาพของการเพาะเชื้อในเกาหลีใต้เป็นจำนวนมาก

อีกประเทศหนึ่งที่ทางการจัดการวิกฤตได้ดีมากคือเวียดนาม โดยมีการประกาศสถานการณ์การแพร่ระบาดเร็วตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ในทันทีที่พวกเขาค้นพบการแพร่กระจายในชุมชน และหยุดเที่ยวบินทั้งหมดจากจีน จากนั้นพวกเขาก็ห้ามเที่ยวบินจากประเทศส่วนใหญ่อย่างรวดเร็ว เวียตนามเร็วมากกับการปิดประเทศจากนักท่องเที่ยวจากสเปน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ก่อนที่ประเทศเหล่านั้นจะมีประกาศล็อคดาวน์ในประเทศตัวเองเสียอีก ณ วันที่ 18 เมษายน เวียตนามมีผู้ป่วยเพียง 270 รายจากประชากร 95 ล้านคน

กราฟนี้แสดงให้เห็นถึงวันที่ที่ประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกใช้มาตรการจำกัดการเดินทางที่แตกต่างกัน แต่ละประเทศมีช่องแนวนอนและเส้นสีต่างๆแสดงข้อจำกัดการเดินทางจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ต่างๆ: หูเป่ย, จีน, เกาหลีใต้, อิตาลีตอนเหนือ, ยุโรป และโลก กราฟนี้วาดยากเพราะมีมาตรการมากมายที่สามารถดำเนินการได้ ตั้งแต่การตรวจสอบอุณหภูมิร่างกาย ไปจนถึงแถลงการณ์ด้านสุขภาพ ข้อจำกัดการเดินทางในระดับภูมิภาค การกักกันผู้มาเยือน การมีกฏข้อยกเว้นของมาตรการ … แต่เราพยายามทำให้ง่ายเท่าที่จะทำได้โดยใช้สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับการกักกันที่บังคับใช้กับผู้มาเยือนทั้งหมดจากบางพื้นที่ หรือการห้ามเข้าอย่างเต็มรูปแบบ แม้ว่าบ่อยครั้งจะได้รับการยกเว้นเช่นนักการทูตเป็นต้น

ในกราฟนี้เราสามารถเห็นได้ว่าเมื่อใดที่ประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกใช้มาตรการบังคับการเดินทางที่แตกต่างกัน แต่ละเส้นแสดงถึงข้อจำกัดการเดินทางจากพื้นที่ต่างๆ เริ่มจากหูเป่ยก่อนจะขยายไปทั่วโลก เราจะเห็นได้ว่าไต้หวันและเวียดนามซี่งมีเคสน้อยกว่า 1,000 รายทั้งสองประเทศจำกัดการเดินทางจากประเทศอื่นๆอย่างรวดเร็ว

สิงคโปร์เร็วพอสมควร แต่ไม่เร็วพอที่จะหยุดการเพาะเชื้อที่ส่วนใหญ่มาจากบังคลาเทศและอินโดนีเซีย โชคก็มีบทบาท: หากสิงคโปร์ไม่เป็นเมืองที่มีหลายชาติหลายภาษาก็อาจไม่มีการระบาดของโรคนี้ ต้องขอขอบคุณการจัดการที่น่าทึ่งของประเทศนี้ที่สามารถลดการแพร่ระบาดไปแล้ว

เกาหลีใต้เป็นกรณีพิเศษ: แม้จะไม่ใช่ประเทศที่มีการจำกัดการเดินทางที่รวดเร็วมากโดยรวม แต่ก็จำกัดการเดินทางจากจีนอย่างรวดเร็ว ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์หลายสิบประเทศได้ห้ามการเดินทางจากเกาหลีใต้ซึ่งทำให้นักเดินทางเดินทางไปเกาหลียากขึ้นมาก “การห้ามเดินทางแบบกลับด้าน” นี้ช่วยเกาหลีใต้อย่างแน่นอน

แม้ว่าประเทศไทยจะช้าหน่อยในการจำกัดการเดินทาง แต่ก็มีมาตรการอื่นๆเช่นการตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายและมีการแถลงการณ์ด้านสุขภาพ และอาจเป็นเพราะโชคช่วยด้วยที่ป้องกันการเพาะเชื้อมากขึ้นได้สำเร็จ

โดยทั่วไปแล้วญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ช้าที่สุด ซึ่งอาจอธิบายได้ด้วยการแพร่ของโรคที่ช้าระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม มีการระบาดเพิ่มขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม โชคดีที่ญี่ปุ่นมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีและดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ในขณะนี้

จากทั้งหมดนี้ เราจะเห็นได้ว่าประเทศในเอเชียตะวันออกที่จำกัดการเดินทางที่เร็วที่สุดนั้น โดยทั่วไปก็คือประเทศที่มีการเพาะเชื้อน้อยกว่าและมีแพร่กระจายเชื้อน้อยกว่า

เห็นได้ชัดว่าปัญหาของการจำกัดการเดินทางคือมีความเสียหายมาก โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่เศรษฐกิจขึ้นกับการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ

การห้ามการเดินทาง vs. การกักกันตัว

ประมาณ 10% ของ GDP ทั่วโลกมาจากการท่องเที่ยว สำหรับประเทศอย่างสเปนตัวเลขนี้คือ 15% ประเทศนี้มีนักท่องเที่ยวมาปีละ 83 ล้านคน การล็อคดาวน์ในเดือนมีนาคมและเมษายนมีแนวโน้มว่าจะทำให้ประเทศเสีย 2% ของ GDP ภายในเวลาเพียง 2 เดือน ตอนนี้สเปนพยายามมากที่จะเปิดเมืองอีกครั้ง: 6% ของ GDP ทั้งหมดมาจากการท่องเที่ยวในระหว่างเดือนมิถุนายนและกันยายน สเปนจะสามารถเปิดเมืองทันเวลาหรือไม่? ประเทศควรคิดถึงข้อจำกัดการเดินทางอย่างไร?

การจำกัดการเดินทางมีหลายประเภทเช่นการตรวจสอบอุณหภูมิร่างกาย การออกแถลงการณ์ด้านสุขภาพ หรือการตรวจ แต่มีสองสิ่งที่มีผลกระทบอย่างสำคัญต่อการเพาะเชื้อ: การกักกันตัวและการห้ามการเดินทาง การกักกันหมายถึงนักเดินทางจะต้องถูกกักตัวเป็นเวลาสองสัปดาห์ การห้ามการเดินทางก็คือป้องกันไม่ให้เข้าประเทศ

หากการกักกันทำได้ละเอียดถื่ถ้วนเหมือนในไต้หวัน ก็พอที่จะสันนิษฐานอย่างมีเหตุผลได้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อเล็กน้อยมากที่จะมาจากนักเดินทาง

น่าเสียดายว่านี่เป็นสิ่งที่แพงเกินไปในทางปฏิบัติและไม่สามารถใช้ได้กับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ใครจะต้องการใช้เวลาสองสัปดาห์ในช่วงวันหยุดเพื่อถูกขังอยู่ในห้องคนเดียว เพียงเพื่อจะใช้เวลาอีกสองสัปดาห์ในการกักกันตัวเมื่อเดินทางกลับบ้าน?

หากประเทศท่องเที่ยวอย่างสเปนเข้าสู่ระยะเต้นรำ พวกเขาจำเป็นต้องจำกัดการเพาะเชื้อจากต่างประเทศ ตัวอย่างเช่นนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร ในปี 2019 มี 18 ล้านคนที่ไปสเปน สมมติว่า 1.2% ของนักท่องเที่ยวจากอังกฤษติดเชื้อ และหากเราสมมุติว่าผู้ป่วย 50% จะไม่เดินทาง นั่นหมายความว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี สเปนจะนำเข้าผู้ป่วยโคโรนาไวรัสจำนวน 108,000 รายจากสหราชอาณาจักร หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 300 ต่อวัน และนี่เป็นเพียงประเทศเดียวเท่านั้น คุณจินตนาการได้ไม่ยากว่าสเปนจะประสบหายนะเพียงใดหากเปิดประเทศให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

ดังนั้นประเทศอย่างสเปนควรคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?

กุญแจสำคัญคือการคิดในแง่ของความเสียหาย (ค่าใช้จ่าย) และผลประโยชน์ ค่าใช้จ่ายของคุณในที่นี่คือเพาะเมล็ดเชื้อใหม่ในประเทศของคุณ นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการลด ดังนั้นคุณต้องพยายามรู้จำนวนของการติดเชื้อที่จะมากับนักเดินทางจากต่างประเทศ ส่วนผลประโยชน์คือเงินที่นำเข้าสู่เศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว

อาจมีนักเดินทางสองประเภท: ประเภทหนื่งอาจเต็มใจให้กักกัน อีกประเภทคือพวกที่ไม่เต็มใจ คนที่เต็มใจต่อการกักกันนั้นมีแนวโน้มที่จะอาศัยอยู่ในประเทศและมีส่วนร่วมอย่างมากในระบบเศรษฐกิจ และเพราะการกักกันคนเหล่านี้จึงมีโอกาสน้อยที่จะเพิ่มเคสในประเทศ ดังนั้นพวกเขาจึงนำความเสียหายมาให้น้อย (ค่าใช้จ่ายน้อย) ในแง่ของการติดเชื้อ และมีมูลค่ามากกว่าในแง่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ดังนั้นกฎแบบง่ายๆก็คือ ประเทศที่มีฐานะพอที่จะซื้อเมล็ดการเพาะเชื้อจากต่างประเทศได้ควรเปลี่ยนจากการห้ามเดินทางเป็นการกักกันตัวสำหรับนักเดินทางทุกคน ไม่ว่าจะมาจากประเทศใดก็ตาม ในที่สุดสเปนก็ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้

ประเทศที่กักกันผู้มาเยือนระยะยาวได้ดีต้องแน่ใจว่าผู้มาเยือนมีที่อยู่อาศัย หรือมิฉะนั้นพวกเขาจะต้องอยู่ในโรงแรมที่รัฐบาลเลือก บางประเทศถึงกับจ่ายค่าใช้จ่ายในการกักกันให้

พวกเขายังทำให้แน่ใจว่าการขนส่งตัวผู้กักกันจากสนามบิน — หรือชายแดน — ไปยังที่อยู่อาศัยมีโอกาสแพร่เชื้อสู่ท้องถิ่นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในไต้หวันหรือจีนคุณใช้การขนส่งเดินทางแบบส่วนตัวหรือที่รัฐบาลจัดให้ การเดินทางอย่างอื่น — รวมถึงการเดินบนถนน — เป็นสิ่งต้องห้าม

เมื่อการดำเนินการนี้ใช้งานได้ดี ประเทศต่างๆควรติดตามสถานการณ์เพื่อให้มั่นใจว่ามีการนำเชื้อเข้าน้อยและมีการจำกัดวงอยู่เสมอ และอาจมีแปลงการห้ามเดินทางเป็นการกักกันตัวเป็นประเทศๆไปทีละประเทศ โดยขึ้นอยู่กับจำนวนเคสที่พวกเขานำเข้าและความสามารถในการกักกันตัวคนที่นำเข้า

ลองทำสถานการณ์สมมุตินี้:

ลองนึกภาพว่าประเทศอย่างสเปนต้องเลือกประเทศที่จะเปิดพรมแดน ประเทศ H มักเป็นแหล่งที่มาของนักท่องเที่ยว (10 ล้านคน) แต่ก็ไม่ได้ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคและตอนนี้ประมาณ 5% ของประชากรอาจติดเชื้อ สมมุติว่าคนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะป่วยและเดินทางน้อยกว่าคนอื่น 30% นั่นอาจหมายถึงว่าจะมีผู้ติดเชื้อเกือบ 350,000 คนเข้ามาในประเทศ สเปนไม่มีทางให้คนจากประเทศนี้เข้า

ในทางกลับกัน ประเทศ D กำลังเต้นรำได้สำเร็จและมีผู้ติดเชื้อน้อยมาก สมควรที่จะเปิดประเทศให้ประเทศนี้ก่อน แต่เราควรเปิดประเทศใดบ้าง: D, O หรือ W? คุณต้องพิจารณาถึงมูลค่าต่อหัวของคนเดินทางที่ติดเชื้อ (Value per infected traveler)

สเปนใช้การกักกันตัวสำหรับนักเดินทางระยะยาวทุกคน ซึ่งเราคาดว่าจะลดจำนวนการเพาะเชื้อลงได้ 75% เราจะเห็นได้ว่าการเปิดพรมแดนให้ประเทศจาก H นำรายได้เข้าเศรษฐกิจประมาณ $1.7 ล้านเหรียญสหรัฐต่อผู้ติดเชื้อ แต่การเปิดสเปนให้แก่คนเดินทางจากประเทศ D นำมา $700 ล้านดอลลาร์! เห็นได้ชัดว่าหากสเปนต้องเลือกว่าจะรับผู้มาเยือนในระยะยาวควรจัดลำดับความสำคัญของประเทศแรกเป็น D จากนั้น O (ประมาณ $11ล้านดอลลาร์ต่อผู้ติดเชื้อ) จากนั้น W และสุดท้าย H

สเปนจะต้องตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้นักเดินทางจากประเทศเหล่านี้จำนวนเท่าใดเข้าประเทศ ซึ่งปริมาณนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถทางสาธารณสุขในการรับการเพาะเชื้อที่จะเกิดขึ้น และตามจำนวนเคสที่สามารถทนได้ การเปิดประเทศให้คนจากประเทศ D, O และ W เข้าจะส่งผลให้มีการนำเข้าของโรคประมาณ 1,250 รายต่อปีหรือประมาณสี่เคสต่อวัน

หากทำเช่นนี้ได้ คำถามต่อไปไม่ว่าสำหรับประเทศใดก็คือ: เราสามารถยกเลิกการกักกันตัวสำหรับนักเดินทางจากบางประเทศได้หรือไม่? นี่นับได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของการท่องเที่ยว เพราะปัญหาจะมีต่อไปตราบใดที่ยังมีการกักกันตัว

การคำนวณก็เหมือนๆกันนั่นแหละ : มูลค่าต่อหัวนักท่องเที่ยวที่คุณนำเข้าคืออะไร และราคาต่อการติดเชื้อหนึ่งคนคือเท่าไหร่ เปิดรับประเทศที่ให้มูลค่าดีที่สุดต่อการติดเชื้อหนึ่งหัว (Best value per infection) และจะนำโรคมาสู่อย่างมากที่สุดไม่เกินกว่าที่ระบบสาธารณสุขของคุณสามารถรับได้ และตราบใดที่ผลประโยชน์มีค่าเกินกว่าต้นทุน

จากข้อมูลสมมุติข้างบน เราอธิบายได้ว่าเราอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากประเทศ D และ O เข้าประเทศได้แม้จะไม่มีการกักกันตัว ก่อนที่จะอนุญาตให้นักเดินทางระยะยาวจาก ประเทศ H เพราะประเทศ D และ O ทำการเต้นรำได้ดี : นักท่องเที่ยวจากสองประเทศนี้นำเงินเข้า $25 ล้านเหรียญและ $2 ล้านเหรียญสหรัฐสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น เทียบกับเพียง $1.7 เหรียญสหรัฐสำหรับนักเดินทางระยะยาวจากประเทศ H

ด้วยความคิดแนวนี้ เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของประเทศที่เราจะเปิดให้เข้าและประเภทของนักเดินทางที่เราต้องการ

หากสเปนสามารถนำเคสใหม่เข้าประเทศ 10 เคสต่อวันก็จะสามารถรับนักท่องเที่ยวจากประเทศ D, O และ W และนักท่องเที่ยวจากประเทศ D

มีรายละเอียดที่สำคัญบางประการ ตัวอย่างเช่นอย่าพิจารณาประเทศต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว ต้องดูเส้นทางการเดินทางด้วย คุณต้องรู้สึกมั่นใจว่าคุณจะควบคุมป้องกันการติดเชื้อได้แค่ไหนโดยการกักกัน คุณต้องคาดเดาความระบาดของเชื้อโรคในแต่ละประเทศว่ามากน้อยรุนแรงแค่ไหน และรู้มูลค่าต่อนักท่องเที่ยวหรือผู้อยู่อาศัย (Resident)

สิ่งที่สำคัญคือ คุณต้องเข้าใจตัวเลขที่มีความสำคัญที่สุดและเข้าใจว่าจะเปลี่ยนผลกระทบได้อย่างไร สำหรับโมเดลนี้ ตัวเลขสำคัญคือความมากน้อยของการระบาดในประเทศต้นทาง และสัดส่วนของผู้ติดเชื้อที่คุณสามารถระบุตัวหรือแยกตัวได้ หากคุณมีการตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายและการตรวจแบบ PCR (Polymerise Chain Reaction เป็นการตรวจเชื้อโดยตรง) ในสนามบินเพื่อตรวจจับผู้ที่ติดเชื้อ คุณจะสามารถเปิดประเทศได้มากขึ้น นี่คือผลลัพธ์ที่ได้หากคุณสามารถจับ 75% ของจำนวนผู้ติดเชื้อได้:

ทันใดนั้นเราก็พบว่านักท่องเที่ยวระยะยาวและนักเดินทางจากประเทศส่วนใหญ่ก็มาได้! นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกาหลีใต้สามารถเปิดพรมแดนได้เป็นเวลานาน นี่คือกระบวนการของพวกเขา:

ออสเตรียมีการทดสอบแบบ PCR สำหรับนักเดินทางทั้งขาเข้าและขาออกแล้ว

รายละเอียดที่สำคัญคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและในอีกหลายเดือนต่อไป ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขสมมุติขึ้นทั้งนั้น แต่ถ้าถูกต้องในการมองแบบกว้างๆ โมเดลประเภทนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกมากมายหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น:

  • ปัจจัยสำคัญสองประการในที่นี้คือความชุกของโรคโคโรน่าไวรัส (สัดส่วนของประชากรที่ติดเชื้อ) จากประเทศต้นทาง และความสำเร็จในการระบุตัวและแยกตัว มูลค่าต่อนักท่องเที่ยวสำคัญรองลงมา
  • หากมีเคสมากมายทั่วโลก แม้การกักตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมดก็อาจเอาไม่อยู่ และเราอาจต้องการเลือกเฉพาะประชาชนจากประเทศที่เราจะอนุญาตให้เข้า หากส่วนใหญ่ของโลกควบคุมโรคได้ดี ความชุกของโรคจะต่ำจนประเทศต่างๆสามารถเปิดรับนักเดินทางระยะยาวจากประเทศอื่นๆได้
  • ประเทศที่ดำเนินงานตามวิธีสร้างภูมิต้านทานฝูง (Herd immunity) อาจมีเคสมากจนแม้แต่การกักกันผู้เดินทางระยะยาวก็ยังไม่ดีพอที่จะอนุญาตให้คนจากประเทศแบบนี้เข้าประเทศ
  • ผู้มาเยือนระยะยาวที่มีแนวโน้มที่จะนำมูลค่าเพิ่มต่อคนมาสู่ประเทศมากกว่านักท่องเที่ยวแบบสั้นๆและอาจเต็มใจที่จะถูกกักบริเวณ มักจะมีลำดับความสำคัญสูงกว่านักท่องเที่ยวแบบสั้น หากความคิดนี้ถูกต้อง เรามีแนวโน้มที่จะเปิดประเทศเป็นครั้งแรกผ่านการกักกันนักท่องเที่ยว และเมื่อระบบสาธารณสุขสามารถจัดการรับมือได้ เราอาจเริ่มอนุญาตให้ผู้เดินทางจากประเทศต่างๆเข้าประเทศได้โดยไม่ถูกกักกัน
  • หากประเทศใดดำเนินงานได้อย่างน่าทึ่งในการระบุตัวและกักกันผู้เดินทางที่ป่วยและสามารถอวดความสำเร็จในการกักกันที่ได้ผล 100% ประเทศนั้นจะสามารถเปิดรับนักเดินทางระยะยาวจากทั่วโลกได้
  • โดยทั่วไปนักท่องเที่ยวอาจได้รับอนุญาตให้เข้าหลังพลเมือง และพลเมืองของประเทศที่มีความชุกของโรคต่ำมากอาจมีอิสระที่จะไปทุกที่ที่พวกเขาต้องการ สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสิ่งนี้อาจเป็นเรื่องยาก: หากความชุกของโรคอยู่ในระดับต่ำจริงๆ ประเทศต่างๆสามารถจับตัวผู้ป่วยที่มีอาการโรคโคโรน่าไวรัสที่เพิ่งเริ่มเป็นได้ดี หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถหาหนทางที่จะทำให้ลูกค้าทุกคนรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลได้ อุตสาหกรรมนี้ก็อาจบอบช้ำต่อไปจนกว่าจะมีวัคซีนหรือการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

ทั้งหมดนี้มาจากการใช้แบบจำลองที่มาจากสมมุติฐาน ดังนั้นข้อสรุปใดๆข้างต้นอาจผิด ประเด็นของเราไม่ได้อยู่ที่ข้อสรุป แต่เราต้องการเน้นวิธีคิดซึ่งสามารถช่วยในการตัดสินใจเชิงนโยบาย

นี่เป็นวิธีที่ฮ่องกงคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างกว้างๆ

จากแผนอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่ฮ่องกง

“รัฐบาลได้ดำเนินการประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียดก่อนที่จะดำเนินงานตามมาตรการด้านสุขภาพท่าเรือในมุมมองของโรคระบาดในประเทศอื่นๆหรือภูมิภาคอื่นๆ นอกเหนือจากการพิจารณาจำนวนเคส การแพร่กระจาย และอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ รัฐบาลจะคำนึงถึงมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของประเทศ / ภูมิภาคนั้นๆ รวมถึงความถี่ในการเดินทางระหว่างฮ่องกงและประเทศ / ภูมิภาคนั้นๆ รัฐบาลจะพิจารณาทบทวนและหาเหตุผลของมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงภาวะล่าสุดของการระบาด”

คณะกรรมการด้านกฎหมายของสภาด้านการป้องกันและควบคุมบริการสุขภาพของโรคโคโรนาไวรัสในปี 2019 ในฮ่องกง

เรื่องเล่าจากสองโลก

ข้อความต่อไปนี้จะชี้ให้เห็นว่าประเทศต่างๆอาจแบ่งออกเป็นสองชั้น: ประเทศที่เต้นรำและประเทศที่ติดเชื้อ

ด้วยการทำงานอย่างหนัก ประเทศที่เต้นจะกำจัดเคสโคโรน่าไวรัสภายในเกือบหมดแล้ว ประเทศเหล่านี้จะยินดีต้อนรับการเดินทางระหว่างประเทศพวกเดียวกันด้วยข้อจำกัดเล็กน้อย อย่างไรก็ตามพวกเขาจะหลีกเลี่ยงประเทศที่ดำเนินนโยบายสร้ายภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) เพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดการระบาดใหม่ ในทางกลับกันประเทศที่ติดเชื้ออาจต้อนรับผู้มาเยือนจากทุกประเทศเนื่องจากไม่มีอะไรจะเสีย น่าเสียดายที่ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่อาจได้รับเพียงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆที่ติดเชื้อด้วยกันเท่านั้น เนื่องจากผู้ที่มาจากประเทศที่เต้นรำจะไม่ต้องการติดไวรัสอีก และประเทศของเขาอาจไม่ยอมให้พวกเขากลับประเทศโดยไม่มีการกักกัน

จนถึงตอนนี้เราได้คุยกันถึงเรื่องระดับประเทศเท่านั้น แต่เราใช้ตรรกะเดียวกันในระดับภูมิภาคได้

ภายในสหรัฐอเมริกา บางรัฐที่เต้นรำมีเคสน้อยเช่น อลาสก้า, โอเรกอน, มอนทาน่า, ไอดาโฮ, ฮาวาย หรือ เมน รัฐที่ติดเชื้อที่มีการระบาดสูง ได้แก่ อิลลินอยส์, ไอโอวา, นิวยอร์ก, นิวเจอร์ซีย์, หรือแมรี่แลนด์

เราจินตนาการได้ถึงการเดินทางระหว่างกันของรัฐที่เต้นรำ แต่ป้องกันผู้มาเยือนจากรัฐที่ติดเชื้อหรือบังคับให้กักกันเช่นที่ ฮาวาย และ อลาสก้าได้ทำแล้ว รัฐเช่นแคลิฟอร์เนีย, เนวาดา, หรือรัฐวอชิงตัน อาจทำงานหนักเพื่อให้ระดับความชุกของโรคต่ำพอที่จะได้รับการยอมรับเข้าสโมสรนี้

ในทางกลับกันบางรัฐเช่นไอโอวา, เนบราสกา, หรืออิลลินอยส์ อาจมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงจนพวกเขาตัดสินใจที่จะใช้ภูมิคุ้มกันฝูง รัฐทางใต้เช่นจอร์เจีย, เทนเนสซี, หรือมิสซิสซิปปี อาจเข้าร่วมได้ รัฐที่อยู่ตรงกลางอาจตัดสินใจได้ว่าต้องการจะสโมสรกับรัฐที่เต้นรำหรือติดเชื้อ

ความคิดที่คล้ายกันนี้กำลังได้รับการพิจารณาในหลายประเทศ

ออสเตรเลีย อนุญาตให้มีการเดินทางในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาคได้ หากภูมิภาคนั้นเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 (บางภูมิภาคเข้าขั้นนี้ได้แล้ว) ขั้นตอนที่ 2 จะอนุญาตให้มีการเดินทางระหว่างรัฐ และขั้นตอนที่ 3 จะรวมถึงการเดินทางระหว่างประเทศ

ในสเปน ภูมิภาคต่างๆจะมีสิทธิ์แตกต่างกันไปแล้วแต่ระดับความแพร่ระบาดของโรค โดยอนุญาตให้เดินทางไปและกลับจากจังหวัดที่เต้นรำ ขณะที่จังหวัดที่ติดเชื้อจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหยุดยั้งโรคระบาด รัฐบาลกลางไม่อนุญาตให้จังหวัดสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

ส่วนนี้ของบทความมาจากผลงานของ Jorge Peñalva

สรุป

ประเทศที่ต้องการเต้นรำให้ประสบความสำเร็จอาจทำได้ด้วยการตรวจเพียงอย่างเดียว การสืบตามการพบปะกับผู้ติดเชื้อ การแยกตัวผู้ติดเชื้อ การกักกัน การใช้หน้ากาก การรักษาสุขอนามัยโดยทั่วไป การแยกตัวบุคคลให้ห่างกัน และให้การความรู้ต่อประชากร ยิ่งไปกว่านี้ เราอาจจำเป็นต้องจำกัดการชุมนุมสังสรรค์จนกว่าความแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสต่ำพอและสามารถหาวิธีที่จะจำกัดการแพร่กระจายเชื้อในกิจกรรมเหล่านี้ได้ ตลอดระยะเวลาของการเต้นรำ พวกเขาจะต้องจำกัดการติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศโดยใช้การกักกัน มาตรการคัดกรองที่ชายแดน หรือห้ามการเดินทางเข้าทั้งหมด

ประเทศที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีจะสามารถเปิดเศรษฐกิจ และเดินทางไปมาระหว่างกันได้

สำหรับประเทศที่ไม่ได้พยายามสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ความเจ็บปวดของพวกเขาไม่จำกัด เฉพาะการสูญเสียการเดินทางของคนจากพื้นที่เต้นรำเท่านั้น แต่ควรระลึกด้วยถึงค่าใช้จ่ายจากการเสียชีวิต ภาวะเรื้อรัง การระบาดอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบทางเศรษฐกิจ

หากค่า R (Transmission Rate) คือ 2.7 ประมาณ 65% ของประชากรสหรัฐอาจติดเชื้อหรือประมาณ 214 ล้านของคน หากอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ (IFR หรือ Infection Fatality Rate) อยู่ระหว่าง 0.5% ถึง 1.5% ซึ่งน่าจะเป็นไปจากข้อมูลการวิจัยที่น่าเชื่อถือมากที่สุด — ผู้เสียชีวิตเฉพาะในสหรัฐอเมริกาอาจอยู่ระหว่าง 1 ถึง 3 ล้านคน

ยิ่งไปกว่านั้นอาจมีภาวะเรื้อรังที่เกิดจากผลกระทบของไวรัสในปอด ไต เลือด และสมอง … การเข้าถึงภูมิคุ้มกันหมู่จะใช้เวลาเป็นเดือน ซึ่งเศรษฐกิจจะหดตัวมาก เพราะคนไม่ต้องการออกนอกบ้าน ติดเชื้อ และแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนที่รัก ประมาณ 45% ของชาวอเมริกันมีโรคพื้นฐานอยู่แล้วที่จะทำให้โคโรน่าไวรัสอันตรายมาก เช่นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือเป็นผู้สูงอายุ

อาจเป็นไปได้ที่ภูมิคุ้มกันหมู่จะเป็นสิ่งที่ไร้ค่า เพราะพวกเขาจะไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้อีกต่อไป การมีภูมิคุ้มกันหมู่จากการเจ็บป่วยนั้นไม่ได้หมายความว่าประชากรจะปลอดจากโรคนี้ตลอดไป การระบาดใหม่อาจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไวรัสตัวนี้เหมือนไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดอื่น ซึ่งหมายความว่าภูมิคุ้มกันของเราจะหายไปภายในประมาณ 1–2 ปี

ดังนั้นกลยุทธ์การสร้างภูมิคุ้มกันแบบหมู่จะไม่ดีต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ แทนที่จะดำเนินงานตามกลยุทธ์ภูมิคุ้มกันหมู่ เราควรใช้กลยุทธ์ที่หลีกเลี่ยงการเพาะเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อแทน

…………………………………………………………………………………

นี่คือส่วนที่ 5 ของบทความโคโรน่าไวรัส: เรียนเต้นรำ

ในบทที่ 1 เราหารือกันถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจากไต้หวัน สิงคโปร์ จีน และเกาหลีใต้

ในบทที่ 2 เราอภิปรายเรื่องการใช้หน้ากาก สุขอนามัยโดยทั่วไป การแยกระยะห่างของบุคคล และการให้ความรู้ต่อจากรัฐสู่ประชาชน

ในบทที่ 3 เราครอบคลุมการตรวจและการสืบตามผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อ

ในบทที่ 4 เราจะพูดถึงการแยกตัวและการกักกัน

ในบทที่ 6 เราจะรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เราจะให้คำแนะนำแบบเฉพาะเจาะจงในแต่ละเรื่อง รวมถึงคำเตือน: ประเทศส่วนใหญ่ยังเต้นรำไม่ดีพอ และหากประเทศเหล่านี้ยังคงทำแบบนี้ต่อไป ก็อาจจบลงเหมือนเช่นสิงคโปร์

…………………………………………………………………………………

คำขอบคุณของผู้เขียน

นี่เป็นความพยายามครั้งใหญ่ของทีมด้วยความช่วยเหลือจากผู้คนหลายสิบคนที่แชร์ผลงานวิจัย แหล่งที่มา ข้อโต้แย้ง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำ ท้าทายข้อเสนอแนะและสมมุติฐานของเรา และไม่เห็นด้วยกับเรา ขอขอบคุณเป็นพิเศษกับ Barthold Albrecht, Jorge Peñalva, Genevieve Gee, Matt Bell, Carl Juneau, Mike Mitzel, Christina Mueller, Elena Baillie, Pierre Djian, Yasemin Denari, Claire Marshall และอีกมากมาย บทความนี้เป็นไปไม่ได้หากไม่มีพวกคุณทุกคน

--

--

Ken Mallikamas
Ken Mallikamas

Written by Ken Mallikamas

MS Engr., MBA. Co-owned a SW product with $1.5B annual sales. Typing loudly from a California town by the Bay, often with his cat purring happily on his lap.

No responses yet