โคโรน่าไวรัส: กลยุทธ์สวิสชีส

Ken Mallikamas
6 min readNov 25, 2020

--

ทุกๆประเทศจะเรียนเต้นรำและหยุดโคโรนาไวรัสได้อย่างไร

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

แปลจากบทความต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนโดย Tomas Pueyo

ใช้เวลาอ่านและฟังคลิปประมาณ 45 นาที อ่านไปคิดไปอาจนานกว่านี้

~ ~ ~

ในบทความนี้คุณจะเรียนรู้อะไรบ้าง:

  • ทำไมสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปจึงล้มเหลวในการควบคุมไวรัส ในขณะที่ประเทศอื่นๆที่เทียบเคียงกันได้ประสบความสำเร็จ
  • คุณจะเข้าใจมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดได้ด้วยแนวคิดง่ายๆเพียงข้อเดียว
  • เหตุใดการตรวจและการสืบตามผู้มีการพบปะกับผู้ป่วยของชาติตะวันตกจึงไร้ผลเป็นส่วนใหญ่ และจะแก้ไขได้อย่างไร
  • คำถามที่นักข่าวและประชาชนต้องถามนักการเมืองเพื่อให้พวกเขารับผิดชอบ
  • คุณจะหยุดไวรัสในชุมชนของคุณได้อย่างไรโดยไม่ต้องอาศัยรัฐบาล

และอื่นๆ อีกมาก เรามาเริ่มกันเลย

~ ~ ~

คุณคงนึกว่าหลังจากที่เราสู้กับโรคระบาดมาถึงแปดเดือน ประเทศส่วนใหญ่จะรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเพื่อหยุดยั้งไวรัสโคโรนา แต่โดยความเป็นจริง บางประเทศยังย่ำแย่กันอยู่ตรงนี้

คุณคงเคยเห็นชาร์ตแบบนี้มาแล้ว รายละเอียดเพิ่มเติมคือเส้นสีเขียวด้านล่างของชาร์ตซึ่งเป็นข้อมูลจากประเทศในเอเชียแปซิฟิก

นี่คือกราฟที่เป็นตำนาน ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, จีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, มองโกเลีย, ไทย, หรือเวียดนามต่างก็มีมาตรการค้อนตามรูปแบบต่างๆกัน (มาตรการค้อนในที่นี้หมายถึงการล็อคดาวน์อย่างเข้มงวดเมื่อมีการระบาดที่ไม่สามารถควบคุมได้และไม่รู้ว่าจะทำอย่างอื่นที่จะหยุดไวรัสได้อย่างไร) และการเต้นรำ (ชุดมาตรการเพื่อดูแลการติดเชื้อให้คงอยู่ในระดับต่ำหลังจากเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง) แม้มาตรการของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่ทุกประเทศก็ประสบความสำเร็จในการระงับและควบคุมโรคระบาด

ประเทศเหล่านี้มีทุกประเภท: ประเทศประชาธิปไตย เผด็จการ ประเทศบนแผ่นดินใหญ่ ประเทศหมู่เกาะ ประเทศที่รักเสรีภาพ ประเทศแองโกล — แซกซอน ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประเทศใดๆก็สามารถประสบความสำเร็จได้ และประเทศเหล่านี้ก็ไม่ใช่กลุ่มประเทศเดียวที่ประสบความสำเร็จ: ประเทศอื่นๆตั้งแต่ประเทศในทะเลแคริบเบียนไปจนถึงอุรุกวัย เขตแอตแลนติกของแคนาดา หรือหลายๆประเทศในทวีปแอฟริกาก็สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เช่นกัน

ในขณะเดียวกันประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร จึงได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ใช้ค้อนขนาดใหญ่เพื่อพยายามระงับโรคระบาด แต่ไม่เคยเรียนรู้วิธีการเต้นรำ เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลงพวกเขาไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการกลับเข้าโรงเรียนของนักเรียน เมื่อฤดูหนาวย่างเข้ามาทุกอย่างมีแต่จะแย่ลง

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุโรปในช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมา ที่มา: คำอธิบายประกอบบนแผนที่จาก innouveau

หมายเหตุจากผู้แปล:

1) คลิป YouTubeในบทความนี้ทั้งหมดมีซับไทย สามารถอ่านซับไทยได้โดย กดที่ Settings, Subtitles/CC, English Auto-generated, Auto-translate, เลือกภาษาไทย (YouTube เมนูภาคภาษาไทยอาจไม่ตรงกับเมนูภาษาอังกฤษในสหรัฐ)

2) ซับไทยนี้เป็นการแปลแบบ system auto-translate โดย YouTube การอธิบายความคิด การเรียบเรียงประโยค วิธีพูด คำแปลบางส่วนอาจไม่ตรงนักกับคำพูดภาษาอังกฤษ

วันนี้โลกตะวันตกมีโอกาสอีกครั้ง Joe Biden เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาและต้องการแสดงวิธีการควบคุมโรคระบาดที่แตกต่างจากที่ทำมา ในยุโรปหลายประเทศตื่นขึ้นจากความฝันในฤดูร้อนและเริ่มจำกัดการเคลื่อนไหวของประชากรในประเทศอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้รวมถึงไอร์แลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม สเปน อิตาลี เยอรมนี และแม้กระทั่งสวีเดน

ประเทศที่ต้องการควบคุมไวรัสควรเต้นรำอย่างไร?

วิธีเต้นรำ

เพื่อป้องกันไม่ให้โคโรน่าไวรัสระบาดในชุมชนของคุณ คุณมีการป้องกันสี่ชั้น:

  1. ป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามาในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
  2. หากมีผู้ติดเชื้อหลุดเข้ามาในพื้นที่ พยายามลดจำนวนคนที่ผู้ติดเชื้อพบปะด้วย
  3. ลดโอกาสที่คนที่มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อจะแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นให้น้อยที่สุด
  4. หากผู้พบปะกับผู้ติดเชี้อแพร่เชื้อไปยังคนอื่น ให้ระบุการติดเชื้อต่ออย่างรวดเร็วที่สุด และระงับการระบาดตั้งแต่ตรงนั้น

ไม่มีการป้องกันใดที่สมบูรณ์แบบในตัวเอง แต่เมื่อรวมกันแล้ว มาตรการป้องกันทั้งหมดสามารถหยุดเคสได้มากพอที่จะลดอัตราการแพร่เชื้อ R ให้ต่ำกว่า 1 และป้องกันการระบาดของไวรัสได้

รายละเอียดของวิธีป้องกันแต่ละอันมีดังต่อไปนี้

1. “รั้ว” หมายถึงการป้องกันการนำเชื้อเข้าพื้นที่

เป็นเรื่องธรรมดาที่หากเราไม่สามารถหยุดผู้ติดเชื้อที่ชายแดนได้ก็จะนำมาสู่การนำเข้าของไวรัสและทำให้เกิดการระบาดต่อในชุมชน

“รั้ว” คือมาตรการหยุดไวรัสที่ชายแดน รั้วมีสามประเภทคือ:

  1. กำแพง: ห้ามการเดินทางเข้าออกจากพื้นที่ที่มีการระบาด
  2. เขตกักบริเวณ: อนุญาตให้ผู้คนเข้าพื้นที่ได้ แต่แยกกักกันคนเหล่านี้ออกเป็นเวลา 4 ถึง 14 วัน
  3. จุดตรวจ: ตรวจผู้คนที่ชายแดน

ประเทศต่างๆสามารถพิจารณาใช้รั้วแต่ละชนิดกับผู้เดินทางหลายประเภทได้ ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อสูงเท่าไหร่ รั้วก็ควรแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

กำแพงมีราคาแพงมาก ดังนั้นจึงควรใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็น จุดตรวจอาจมีราคาถูก แต่ไม่สามารถจับผู้ติดเชื้อได้ทุกกรณี การกักกันคือทางสายกลางซึ่งรวมถึง การตรวจ การกรอกแบบฟอร์มให้ข้อมูลเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าผู้เดินทางจะอยู่ที่ไหน การบังคับใช้กฏการกักกันเพื่อให้แน่ใจว่าการกักกันนั้นได้รับการปฏิบัติตาม และควรมีการปรับอย่างสูงสำหรับผู้ที่ไม่เคารพกฏเกณฑ์

คุณจะหยุดการแพร่เชื้อส่วนใหญ่ได้หากมีการตรวจแบบให้ผลรวดเร็วในวันที่นักเดินทางมาถึง และหลังกักกันตัวแล้วสี่วัน

ในกรณีที่ประเทศหรือรัฐที่มีการติดเชื้อน้อยมาก ประเทศหรือรัฐเหล่านี้ก็สามารถเปิดหากันได้โดยสร้าง “ฟองสีเขียว” (Green bubbles) โดยไม่มีรั้วกั้นระหว่างกัน

บางท่านศึกษา เรื่อง การปิด ชายแดน และอาจลงความเห็นว่า“ มันไม่ได้ผล การปิดชายแดนเพียงแต่ชะลอสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” นั่นเป็นเพราะการศึกษาเหล่านี้มักจะพิจารณามาตรการนี้ตามลำพังโดยไม่มีการใช้มาตรการอื่นๆ แน่นอนว่ามันไม่เพียงพอ รั้วเพียงอย่างเดียวไม่สามารถหยุดการแพร่ระบาดได้ รั้วเป็นเพียงชั้นหนึ่งของการป้องกัน ในที่สุดผู้ติดเชื้อบางคนก็จะหลุดเข้าไปและเริ่มต้นการระบาด

ถ้าไม่มีรั้วก็ไม่มีการป้องกัน No Fence, no defense

การมีรั้วเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่รั้วเป็นสิ่งจำเป็น รั้วทำงานแบบยืนเดี่ยวไม่ได้ แต่หากไม่ใช้รั้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดไวรัส ไม่มีประเทศใดที่สามารถรักษาจำนวนเคสให้น้อยได้โดยไม่มีรั้วที่แข็งแกร่ง เพราะในที่สุดก็จะถูกไวรัสบุกรุก นี่คือเหตุผลที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ฮ่องกงเกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ และออสเตรเลียล้วนมีรั้วที่แข็งแกร่ง

ในทางตรงกันข้าม รั้วคือหนึ่งในความล้มเหลวครั้งใหญ่ของสหภาพยุโรปในช่วงฤดูร้อน หลังจากฤดูใบไม้ผลิที่โรคระบาดนำไปสู่การล็อคดาวน์ทั่วทั้งทวีปยุโรป เมื่อการระบาดเริ่มชลอตัวลงประเทศต่างๆในยุโรปก็การ์ดตก เปิดพรมแดน และแลกเปลี่ยนไวรัสให้กันและกัน ตอนนี้เราทราบแล้วว่าเคสส่วนใหญ่ของสหภาพยุโรปในปัจจุบันมาจากสเปน สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นระหว่างรัฐต่างๆในสหรัฐอเมริกา

อีกครั้งนะครับ ไม่มีรั้วก็คือไม่มีการป้องกัน

2. ฟองสบู่ทางสังคม (Social bubbles): การละเว้นจากการพบปะผู้อื่นที่อยู่นอกกลุ่มของตัว

ผู้ติดเชื้อบางคนจะหลุดเข้าไปในชุมชนของคุณ นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้

เมื่อเป็นเช่นนี้คุณต้องการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อพบปะกับผู้อื่น ยิ่งมีผู้คนที่อยู่ในฟองสบู่ทางสังคมของตนเองมากเท่าใด ก็จะยิ่งป้องกันการติดเชื้อจากการเดินทางและแพร่เชื้อจากคนที่มาจากฟองสบู่ทางสังคมอื่นๆมากขึ้นเท่านั้น

มาตรการที่ส่งเสริมฟองสบู่ทางสังคมเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนที่รุนแรงน้อยที่สุด เช่นการจำกัดขนาดของฝูงชนไปจนถึงการล็อคดาวน์ซึ่งหมายถึงการปิดตัวของเศรษฐกิจที่กำหนดให้ทุกครอบครัวต้องอยู่ในฟองสบู่เล็กๆของตนเองเท่านั้น

มาตรการอื่นๆ ได้แก่ เคอร์ฟิว, การจำกัดจำนวนคนที่ธุรกิจอนุญาตให้ทำงานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน ชั่วโมงการทำงานแบบเป็นกะ การห้ามการชุมนุมบางประเภท และการปิดกิจการ

การล็อคดาวน์เป็นการทำลายล้าง โดยผู้คนต้องอยู่บ้านและปิดเศรษฐกิจทั้งหมดลงเว้นแต่ธุรกิจที่จำเป็น นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ค้อน” ในบทความจากเดือนมีนาคม 2563

ในตอนนั้นการล็อคดาวน์ดูสมเหตุสมผล เพราะการแพร่ระบาดสูงกว่าที่เรารู้เนื่องจากเราไม่สามารถตรวจอย่างเพียงพอ, ระบบสาธารณสุขของเราพังทลาย, เราไม่รู้ว่าจะเต้นรำอย่างไรเพื่อหยุดการเติบโตของการแพร่ระบาด, และเราต้องการให้เวลารัฐบาลสองสามสัปดาห์ในการคิดมาตรการจัดการ

ทุกวันนี้สถานการณ์ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว หากประเทศใดใช้ค้อนเมื่อโดนไวรัสโจมตีในคลื่นลูกแรกและจากนั้นมีเวลาเจ็ดเดือนในการเต้นรำ แต่ก็ยังมีคลื่นลูกที่สองและต้องการใช้ค้อนเป็นครั้งที่สองอีก…อะไรจะทำให้ประชาชนเชื่อว่ารัฐบาลจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นในครั้งนี้? เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่มีคลื่นลูกที่สามที่ต้องตามด้วยค้อนครั้งที่สาม และครั้งต่อๆไปอีกไม่จบสิ้น พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่ารัฐบาลไม่ได้กำลังเล่นลูกดิ่งโยโย่อย่างไร้ความรับผิดชอบ วนไปวนมาระหว่างการล็อคดาวน์และการระบาด

การล็อกดาวน์อาจเป็นสิ่งที่ชอบธรรม แต่ต้องทำเพียงไม่กี่สัปดาห์เพื่อให้คลื่นการระบาดลูกใหม่อยู่ภายใต้การควบคุม และใช้เฉพาะเมื่อประเทศมีแผนการที่ดีในการเต้นรำเท่านั้น ยิ่งการระบาดลดลงเร็วเท่าใด การล็อคดาน์ก็จะสั้นลงและเป็นอันตรายน้อยลงเท่านั้น ผู้คนสามารถกลับมามีชีวิตที่ปราศจากโคโรนาไวรัสได้เร็วขึ้น ที่จริงแล้วนี่เป็นวิธีที่ WHO แนะนำให้เราใช้ มิฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการล็อคดาวน์ให้มากที่สุด

โชคดีที่ตอนนี้เราได้เรียนรู้มากพอที่จะระบุประเภทของการสังสรรค์ที่ต้องหลีกเลี่ยงและประเภทของการสังสรรค์ที่ไม่เป็นปัญหา

ตัวอย่างเช่น การซื้อของโดยใส่หน้ากากอนามัย บวกกับการวางตัวห่างจากผู้อื่นและการรักษาสุขอนามัยโดยทั่วไปดูจะปลอดภัย ดังนั้นร้านค้าทั่วไปจึงไม่ควรปิด เราได้เรียนรู้บางอย่างที่สำคัญเกี่ยวกับไวรัสเพื่อพิจารณาว่าควรหลีกเลี่ยงการชุมนุมใดบ้าง

หมายเหตุ ผู้แปลเคยแปลบทความเรื่อง k factor และ Forward vs. Backward Tracing ในลิงค์ข้างบนนี้ลงในเฟสบุคเพจของผู้แปล หากท่านใดสนใจ อ่านได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/living.outloud.77/posts/10208306918746670

สิ่งที่เราค้นพบคือกิจกรรมทางสังคม (events) ส่วนใหญ่ และการติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีความสำคัญ งานวิจัย หลายชิ้น ได้พิสูจน์แล้วว่าเพียง 10% ถึง 20% ของเคสนำมาสู่ 80% ถึง 90% ของการแพร่ระบาดทั้งหมด หากคุณสามารถกำจัดการแพร่แบบ Superspreader ได้คุณก็จะลดการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมาก

บทความจากนิตยสาร Science ช่วยทำให้เห็นภาพว่าไวรัสแพร่กระจายแบบกลุ่มอย่างไร และการสืบตามย้อนหลังเพื่อทำลายคลัสเตอร์ของการระบาดทำได้อย่างไร

แล้วประเทศต่างๆควรทำอย่างไร?

  • ห้ามการชุมนุมเกินจำนวนที่กำหนด หากมีจำนวนเคสโคโรนาไวรัสน้อยก็อาจอนุญาตให้มีการรวมตัวของฝูงชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้
  • กำหนดเป้าหมายสถานที่ที่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดชนิด superspreader เช่นเรือนจำ บ้านพักคนชรา ศูนย์บำบัดต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือโรงงานบรรจุอาหาร ช่วยสถานที่เหล่านี้ป้องกันการแพร่ระบาดด้วยมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น
  • เมื่อมีการแพร่กระจายในชุมชนมาก ก็ต้องปิดบาร์ ไนท์คลับ ร้านอาหาร และแม้แต่ปาร์ตี้ส่วนตัวก็เป็นสิ่งต้องห้าม
  • หลีกเลี่ยงการล็อกดาวน์ถ้าทำได้ และหากจำเป็นต้องปิดสถานประกอบการต่างๆ โรงเรียนควรเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะปิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานดูแลเด็ก

เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการที่ผู้คนมีการพบปะกัน เมื่อผู้คนไม่สามารถพบปะกันได้ การบริโภคก็จะลดลงและเศรษฐกิจก็ถดถอยลง ดังนั้นการจำกัดการพบปะสังสรรค์จึงเป็นชั้นป้องกันที่แพงที่สุดและจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แต่การหลีกเลี่ยงการล็อคดาวน์จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีการป้องกันชั้นอื่นๆที่แข็งแกร่งเท่านั้น

3. “ Contrafection”: การลดการระบาดเมื่อผู้คนพบปะกัน

ชั้นถัดไปของการป้องกันคือการลดการแพร่ระบาดหากผู้คนมีการพบปะกัน

ภาษาอังกฤษไม่มีคำคำเดียวที่มีความหมายว่า “การลดการแพร่ระบาด” ดังนั้นเราขอสร้างคำว่า “Contrafection” ขึ้นมา โดยใช้แนวคิดเดียวกับคำว่า Contraception (การคุมกำเนิด) ซึ่งมาจาก Contra + Conception ในกรณีนี้เรารวม Contra + Infection ในคำใหม่ Contrafection

ไวรัสแพร่กระจายในสภาวะที่เฉพาะเจาะจง: เมื่อผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเทเป็นเวลานานโดยมีการพูดคุย ร้องเพลง หรือแม้เพียงหายใจ คนญี่ปุ่นเรียกสภาวะแบบนี้ว่า 3C: Close spaces พื้นที่ปิด, Crowded places สถานที่แออัด, และ Closed contact การอยู่ใกล้ชิดกัน

ควรหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด คับแคบ อับ อากาศไม่ถ่ายเท และมีเสียงเอะอะเซ็งแซ่

เพื่อลดการระบาดอย่างเป็นระบบ เราจำต้องเข้าใจว่าไวรัสทำงานอย่างไร และแยกขั้นตอนต่างๆที่ไวรัสใช้ในการแพร่กระจาย

สิ่งที่มักเกิดขึ้นคือผู้ติดเชื้อจะไอ พูด หรือแม้กระทั่งหายใจเอาอนุภาคที่ก่อตัวเป็นกลุ่มละออง ซึ่งแฝงตัวอยู่ในอากาศโดยมีไวรัสอยู่ภายใน เมื่ออากาศไม่ไหลเวียนถ่ายเท และอยู่ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมไวรัสจะยังคงลอยอยู่ในอากาศจนกว่าใครสักคนได้รับอนุภาคเหล่านี้เข้าตัวทางตาจมูกหรือปาก

ที่มา: El Pais — ห้องบาร์และห้องเรียน: โคโรนาแพร่กระจายทางอากาศได้อย่างไร บทความนี้มีการแสดงภาพที่ยอดเยี่ยม ลองอ่านดูครับ

ดังนั้นเพื่อหยุดไวรัส:

  1. หลีกเลี่ยงการพูดคุยกับผู้คนจากกลุ่มสังคมอื่น หลีกเลี่ยงการร้องเพลงหรือการตะโกนส่งเสียงดัง
  2. ใช้เวลากับผู้คนจากกลุ่มสังคมอื่นให้น้อยที่สุด
  3. ป้องกันไม่ให้ไวรัสออกจากปากและจมูก
  4. ถ้าป้องกันข้อ 3 ไม่ได้ ให้อยู่ในที่ที่มาการหมุนเวียนระบายอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้อนุภาคไปถึงคนอื่น
  5. สร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรให้กับไวรัสเพื่อให้ไวรัสตาย แม้มันจะลอยอยู่กลางอากาศก็ตาม
  6. ทำทุกอย่างให้แน่ใจว่าไวรัสจะไม่เข้าปาก จมูก และตาของผู้อื่น

ข้อแรกทำได้โดยหลีกเลี่ยงการพูดคุยหรือตะโกนเมื่ออยู่ในฝูงชนหรืออยู่ในห้องร่วมกับผู้อื่น บางคนหัวเราะเยาะเมื่อญี่ปุ่นห้ามไม่ให้มีการกรีดร้องในสวนสนุก แต่คนที่ชอบเกลียดเป็นนิสัยก็จะเกลียด ในขณะเดียวกันประเทศญี่ปุ่นกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินกับสวนสนุก

ข้อที่สองทำได้ง่ายๆโดยใช้เวลาร่วมกันน้อยลง หากการประชุมเสร็จได้ภายใน 10 นาทีแทนที่จะเป็นหนึ่งชั่วโมงก็ควรย่อให้สั้นลง การคุยโต้ตอบสั้นๆส่วนใหญ่จะปลอดภัย การคุยโต้ตอบที่ยาวนานเป็นชั่วโมงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง

ข้อที่สามทำได้ด้วยการใช้หน้ากาก ถึงเวลานี้ทุกคนควรสวมใส่ในที่สาธารณะโดยเฉพาะในตัวอาคาร (หากมีคนไม่กี่คนเวลาอยู่กลางแจ้ง และไม่ได้อยู่ใกล้กันเป็นเวลานานก็ไม่สำคัญเท่า)

ความสำคัญอยู่ในรายละเอียด หน้ากาก N95 เหมาะอย่างยิ่ง หน้ากากอนามัยก็ดีมากเช่นกัน หน้ากากทำเองที่มีวัสดุต่างกันสองสามชั้นก็ใช้ได้เช่นกัน แต่วัสดุชิ้นเดียวเช่นผ้าโพกศีรษะไม่ดีพอ การสวมหน้ากากนั้นไม่พอ ต้องสวมให้ถูกชนิดด้วย คลิปข้างบนมาจากบทความของ New York Times “Masks Work. Really. We’ll Show You How.”

ข้อที่สี่หมายความว่าเราต้องใช้เวลาทั้งหมดที่ทำได้กับคนอื่นๆนอกตัวอาคาร เพราะไวรัส แทบจะ ไม่แพร่กระจาย ภายนอกอาคาร

ไวรัสโคโรนาแทบจะไม่แพร่กระจายกลางแจ้ง

นั่นหมายความว่าควรอนุญาตให้ทำกิจกรรมกลางแจ้งได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นบางอย่างเช่นคอนเสิร์ต การเข้าชมกีฬา หรือกิจกรรมสังคมอื่นๆที่ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน นอกจากนี้ยังหมายความว่าหากธุรกิจใดสามารถเคลื่อนย้ายกิจกรรมออกนอกอาคารได้ก็ควรอนุญาตให้เปิดได้ ในทำนองเดียวกันโรงเรียนควรพยายามจัดชั้นเรียนนอกตัวอาคาร

หากกิจกรรมใดไม่สามารถทำนอกตัวอาคารได้และต้องเกิดขึ้นภายในอาคาร วิธีแก้ปัญหาก็คือระบายอากาศให้มากที่สุด นี่เป็นสิ่งที่ง่ายมาก การเปิดหน้าต่างและใช้พัดลมเพื่อหมุนเวียนอากาศมีราคาถูก และถ้าคุณสามารถติดตั้งระบบระบายอากาศที่ดีได้ด้วยก็จะเยี่ยมมาก

ระบายอากาศให้มากเข้าไว้

ข้อที่ห้าคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยพูดถึง หากอุณหภูมิและความชื้นมีความเหมาะสม ไวรัสจะแพร่ได้อย่างยากลำบาก

ในส่วนสีเหลีองของกราฟข้างบน ไวรัสประมาณ 90% จะตายภายใน 3 ชั่วโมงที่อุณหภูมิประมาณ 40C และความชื้นประมาณ 50% ในทางตรงกันข้าม หากอุณหภูมิใกล้ 0 องศา C ไม่ว่าความชื้นจะต่ำหรือสูง จะต้องใช้เวลา 12 วันถึง 4 เดือนกว่า 90% ของไวรัสจะตาย

ไวรัสตายที่อุณหภูมิสูง ยิ่งสูงยิ่งดี 25องศาเซลเซียส (~ 75 ฟาเรนไฮต์) กำลังดี, 30C ( ~85 ฟาเรนไฮต์) ยิ่งดีขึ้น ประกอบกับความชื้นระหว่าง 50% ถึง 65% จะเหมาะอย่างยิ่งในการฆ่าไวรัส

ขอบคุณ Autarkh และ @LuisMateusRocha. Gif มาจาก: Batman Begins, Warner Brothers, via @catchingcalcifer

ดูเหมือนกับว่าไวรัสมีวิวัฒนาการเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่เย็นและชื้น

เหมือนในถ้ำค้างคาว

นอกจากการอยู่รอดของไวรัสแล้ว จมูกของเรายังสามารถกรองไวรัสได้ดีขึ้น (ภาพข้างล่างมาจากลิงค์นี้) ด้วยความชื้นและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ดังนั้นหากต้องมีการสังสรรค์ในตัวอาคาร นอกจากการระบายอากาศที่ดีแล้ว ควรเพิ่มอุณหภูมิให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปรับความชื้นให้อยู่ระหว่าง 50% ถึง 65%

มีบางเคสที่การติดเชื้อเกิดขึ้นผ่านการสัมผัสวัตถุและพื้นผิว (เรียกว่า “fomites”) การรักษาสุขอนามัยโดยทั่วไปเป็นมาตรการหนึ่งที่ผู้คนต้องให้ความสำคัญ โดยหมั่นล้างมือและฆ่าเชื้ออยู่เสมอ

ขั้นที่หก (สุดท้าย) คือประชาชนควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเอง คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าสามารถติดเชื้อไวรัสได้ทางจมูกและปาก แต่อาจลืมไปแล้วสามารถติดเชื้อทางตาได้เช่นกัน

การสวมแว่นตาหรือแว่นครอบตาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเป็นความคิดที่ดี ในเมืองแห่งหนึ่งในประเทศจีนที่ 32% ของประชากรสวมแว่นตา แต่มีผู้ป่วยโคโรนาไวรัสเพียง 6% เท่านั้นที่สวมแว่นตา มีรายงานการติดเชื้อโดยแพทย์ที่ไม่ได้ป้องกันดวงตา ดวงตามีกลุ่มเซลสำหรับรับ (receptors) โคโรนาไวรัส และอาการทางตา เป็นสิ่งที่พบบ่อยในผู้ป่วยโคโรนาไวรัส

หลักฐานทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าการปกป้องดวงตาสามารถลดการแพร่เชื้อได้ อุปกรณ์ป้องกันดวงตาช่วยลดการระบาดได้และราคาไม่แพง

การป้องกันไม่ให้มีพบปะทางสังคมมีราคาแพงแต่ค่อนข้างง่าย ตรงกันข้าม การลดการระแพร่พันธุ์มีราคาถูกแต่ทำได้ยาก รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการทำสิ่งนี้

ชั้นที่สี่ของการป้องกันก็เช่นกัน: ถูกแต่ยาก รัฐบาลต้องเรียนรู้ในการทำสิ่งนี้

4. ตรวจ — สืบตาม — แยกตัว: ระบุตัวผู้ป่วยและหยุดการระบาด

ถึงตอนนี้เราคุยกันถึงเรื่องการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเข้ามาในชุมชน การหลีกเลี่ยงการพบปะ และการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อหากการพบปะเกิดขึ้น ชั้นสุดท้ายของการป้องกันคือการระบุการติดเชื้อเมื่อเกิดขึ้นและระงับการระบาดต่อ

นี่คือสิ่งที่การตรวจ การติดตามผู้มีการติดต่อพบปะ การแยกตัวผู้ติดเชื้อและการกักกันช่วยเราได้ ขอเรียกสั้นๆว่า ตรวจ — สืบตาม — แยกตัว

สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายคือสิ่งที่รัฐบาลตะวันตกส่วนใหญ่สอบตกอย่างสมบูรณ์แบบ และนักข่าวก็ไม่ได้ถามคำถามที่ถูกต้องเพื่อให้นักการเมืองต้องรับผิดชอบ

ทุกคนเพ่งความสนใจอยู่กับการตรวจเพียงสิ่งเดียว ซึ่งการตรวจก็เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น Positivity (ผลการตรวจที่เป็นบวก) ต้องต่ำกว่า 3–5% และการตรวจต้องรู้ผลอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง

แต่ทำเท่านี้ยังไม่พอ การตรวจบอกคุณว่าใครติดเชื้อเพื่อให้คุณสามารถแยกตัวผู้ติดเชื้อออก แต่คุณต้องกักบริเวณผู้มีการพบปะกับคนเหล่านี้ด้วย และคุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการแยกตัวและการกักกันได้รับการปฏิบัติตามอย่างจริงจัง

น่าเสียดายที่รัฐบาลส่วนใหญ่ไม่ได้จ้างผู้สืบติดตามการพบปะมากพอ หลักง่ายๆสำหรับการคำนวนจำนวนผู้สืบติดตามการพบปะคือต้องมีจำนวนผู้สืบสองถึงห้าเท่าของจำนวนเคสรายวัน ประเทศที่มีเคส 5,000 เคสต่อวันควรมีผู้สืบติดตามระหว่าง 10,000 ถึง 25,000 คน

แต่จำนวนผู้สืบติดตามไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด คุณไม่ควรวัดผลงานจากจำนวนคนในหน่วยงานแต่จากผลผลิตของคนเหล่านี้ คุณต้องการให้ผู้มีหน้าที่สืบติดตามเหล่านี้มีประสิทธิภาพ และหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดคือ ต้องรู้ว่ากี่เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อถูกกักบริเวณ ทุกรัฐบาลควรรายงานตัวเลขนี้ และอย่างน้อยตัวเลขควรอยู่ที่ 60% จะให้ดีเลิศก็ควรสูงกว่า 80% (Juneau et al. 2020)

กี่เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่พบปะกับผู้ติดเชื้อถูกกักกันตัว? รู้หรือไม่?

ผู้สืบติดตามการพบปะพูดถึงกฎต่างๆเช่น 90–90–90–90 ซึ่งหมายถึง เข้าถึงผู้ติดเชื้อ 90% รวบรวมรายชื่อผู้พบปะกับผู้ติดเชื้อให้ได้ 90% เข้าถึงผู้มีการพบปะเหล่านี้ 90% และกักบริเวณผู้มีการพบปะ 90% ทั้งหมดนี้ต้องทำให้ได้ภายในเวลาไม่เกินสองวันเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นไวรัสมีเวลาแพร่กระจายมากเกินไป

น่าเสียดายที่ในบางแห่งผู้สืบการติดต่อประสบความสำเร็จได้ยากด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกผู้คนขัดขวางการทำงานของพวกเขา การขัดขวางนี้ควรได้รับโทษ ประการที่สองผู้ที่ถูกกักกันตัวไม่ได้รับการชดเชย ประเทศที่ทำการกักกันตัวได้ดียินยอมจ่ายค่าโรงแรม ให้อาหาร เงิน และยา และติดต่อหาผู้ถูกกักกันบ่อยๆเพื่อเช็คและดูแล

โชคดีที่เราไม่จำเป็นต้องสืบติดตามผู้พบปะกับผู้ป่วยทั้งหมด ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จอย่างมากส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลยุทธ์ทำลายกระจุกของการระบาดหรือ “cluster-busting” คนส่วนใหญ่ไม่ทำให้คนอื่นติดเชื้อมากนัก เราควรเน้นที่กระจุกของการระบาด (clusters) เมื่อคุณระบุตัวผู้ป่วยได้ ควรหาให้พบว่าเขา *ติดเชื้อมาจากใคร* กระบวนการนี้เรียกว่า “การสืบติดตามย้อนหลัง” (Backward Tracing) ไม่ใช่แต่เพียงสืบว่าผู้ป่วย *ปล่อยเชื้อให้กับใคร* (Forward Tracing) และเมื่อคุณติดตามย้อนหลังจนพบคลัสเตอร์แล้วก็ให้ไล่ตามทุกคนในกระจุกนั้น หากการติดเชื้อไม่ได้มาจากคลัสเตอร์ก็ปล่อยไปได้

ตรงนี้อาจยากขึ้นเล็กน้อยหากไม่มีการใช้แอปสำหรับสืบติดตาม แอปเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำงานได้ไม่ดีนัก แต่อาจมีบทบาทที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการทำลายคลัสเตอร์ของการระบาด

ปัญหาของการใช้แอปในการสืบติดตามผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อก็คือคนส่วนใหญ่จะไม่ดาวน์โหลดแอปเหล่านี้เว้นแต่จะถูกบังคับ คุณต้องมีประชากรประมาณ 80% ที่ใช้แอปจึงจะสามารถควบคุมการระบาดได้ แต่ประเทศต่างๆไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ อย่างมากที่สุดก็ได้เพียง 40% ในไอซ์แลนด์ แคนาดาได้ 15% สิงคโปร์ 25% เยอรมนี 22% ฝรั่งเศส 2.7%

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดก็คือคุณไม่จำเป็นต้องเจาะตลาดให้ได้ 80% ทั้งประเทศ คุณต้องการเพียง 80% ของชุมชนที่กำหนด ตัวอย่างเช่นกิจกรรมทางสังคมบางอย่างที่อาจกลายเป็นคลัสเตอร์ของการระบาด

ภาพโดย Joe Allison จาก Anchorage Daily News

หากข้อบังคับเพียงอย่างเดียวในการไปยิม ไปทำงาน ไปบาร์ ขึ้นรถโดยสาร รับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวคือการสแกนรหัส QR ผู้คนก็จะทำตาม เมื่อสแกนรหัส QR แอปจะบันทึกว่าใครอยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ หากการสแกนรหัส QR เป็นข้อบังคับ — ซึ่งง่ายต่อการบังคับใช้ที่ทางเข้า — ผู้เข้าร่วมทุกคนก็จะถูกติดตามได้อย่างง่ายหากมีคนหนึ่งในนั้นที่ติดเชื้อ เพราะระบบจะระบุทุกคนที่เข้าร่วมโดยอัตโนมัติ เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมประเทศตะวันตกไม่ใช้ระบบนี้เป็นข้อบังคับในการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมทุกประเภท

แต่นั่นก็ไม่ใช่ความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลตะวันตก สิ่งที่ประเทศตะวันตกทำได้ระดับต่ำมากที่สุดคือการดูแลและการบังคับใช้กฏเกณฑ์ในการแยกตัวและการกักกัน

การตรวจและการสืบติดตามผู้มีการติดต่อกับผู้ป่วยเป็นงานสืบสวนที่จะบอกให้ทราบว่าใครบ้างที่ต้องถูกแยกตัวหรือกักกัน แต่หากไม่มีการปฏิบัติงานต่อ ผลจากงานสืบสวนนี้ก็ไร้ค่า

บางประเทศเช่นไต้หวัน เวียดนาม หรือเกาหลีใต้ ติดตามดูตำแหน่งแหล่งที่ของผู้ถูกกักกันโดยใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์อื่นๆของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าคุณอยู่บ้านจริงๆ และตั้งค่าปรับเป็นเงินหลายหมื่นดอลลาร์รวมทั้งโทษจำคุก พวกเขาใช้โรงแรมและสถานที่ราชการเพื่อแยกผู้คน และให้เงินอาหารและยาเพื่อเป็นการชดเชย ระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกดูเหมือนจะตัดสินใจว่าเรื่องนี้ยากเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีการบังคับ

และเมื่อไม่มีการบังคับ ผลที่ได้คืออะไร? ในนอร์เวย์สองในสามคนที่ถูกกักกันไม่กระทำตามกฏ ในสหรัฐอเมริกา จาก 50 รัฐ มีเพียงรัฐเดียวที่นักเดินทางเคารพกฏการกักกัน คือรัฐฮาวาย ซึ่งรัฐนี้เป็นรัฐเดียวที่บังคับใช้กฏในการกักกันตัว

เมื่อไม่มีการบังคับหรือการตรวจตราดูแลการกักกัน ก็หมายความว่าไม่มีการกักกันหรือการแยกตัว ลองนึกถึงความโง่เขลาของการล็อคดาวน์ในประเทศที่ไม่มีโปรแกรมตรวจ — สืบตาม — แยกตัว เปรียบได้กับการพูดว่า:

“มันยากเกินไปที่จะแยกคนเพียงไม่กี่คนออกจากสังคม ดังนั้นเราจะแยกคนทั้งหมดออกจากกัน”

รัฐบาลบางประเทศเช่นสเปน และฝรั่งเศส ไม่มีปัญหาในการบังคับการล็อคดาวน์โดยมีค่าปรับหลายล้าน แต่ทำไมเราไม่เคยได้ยินเรื่องค่าปรับสำหรับการแยกตัวและการกักกัน? ทั้งนี้เพราะมันไม่มี

ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะเริ่มบังคับใช้ซึ่งอาจทำได้ง่ายๆ เช่นเพียงขอให้ผู้ถูกกักกันส่งรูปเซลฟี่จากบ้านภายในสิบนาทีหลังจากได้รับแจ้งแบบสุ่ม หรือส่งตำรวจไปตรวจแบบสุ่ม หรือจะคัดลอกสิ่งที่ประเทศอื่นๆใช้อยู่ก็ได้ รัฐบาลตะวันตกยังควรต้องช่วยด้านอาหาร เงิน และยา ให้กับผู้ที่ถูกกักกันเพื่อให้พวกเขาอยู่บ้าน สำหรับผู้ติดเชื้อที่ไม่สามารถอยู่บ้านได้ควรมีห้องพักในโรงแรมให้บริการฟรี รัฐบาลสามารถเช่าห้องได้ในอัตราที่ค่อนข้างดีในขณะนี้ เราเชื่อว่าโรงแรมมีผู้เข้าพักน้อย

ทั้งหมดนี้คือหัวใจของการตรวจ — สืบตาม — แยกตัว แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเครื่องมือใหม่อีกอย่างหนึ่งที่อาจเปลี่ยนเกมได้ นั่นคือการตรวจจับล่วงหน้า

หลายประเทศประสบกับความยากลำบากในการตรวจและสืบติดตามซึ่งเป็นงานสืบสวน จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีวิธีที่ราคาถูกในการระบุคนส่วนใหญ่ที่อาจติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว?

หนึ่งคือการทดสอบสิ่งปฏิกูล คุณสามารถค้นหาโคโรน่าไวรัสในระบบบำบัดน้ำเสียได้อย่างง่ายดาย และติดตามกลับไปที่บ้านต้นทาง วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยบางแห่งประสบความสำเร็จในการใช้งานตรวจสอบนี้ซึ่งทำได้โดยมีค่าใช้จ่ายไม่แพงนัก และสามารถบอกคุณได้ล่วงหน้าหลายวันได้ว่าการแพร่ระบาดหรือคลัสเตอร์ใหม่กำลังก่อตัวขึ้น

อีกตัวอย่างหนึ่งคือการใช้สุนัขที่ได้รับการฝึกฝน ซึ่งอาจมีความแม่นยำถึง 100% ภายใน 10 วินาที นั่นหมายถึงการดมคนจำนวนมากได้เร็วขึ้นมากในราคาที่ถูกกว่ามาก

สุดท้ายก็มีการตรวจไวรัสอย่างรวดเร็ว การตรวจที่มีราคาต่ำกว่า $5 (ประมาณ 150 บาท) สามารถระบุตัวผู้ติดเชื้อได้ภายในไม่กี่นาที และสามารถผลิตได้พอเพียงสำหรับคนหลายสิบล้านคน

ประเทศสโลวาเกียได้ตระหนักถึงตัวเปลี่ยนเกมอย่างหลังสุดนี้ และกำลังทดสอบประชากรทั้งหมดของประเทศด้วยวิธีนี้

เครื่องมือเหล่านี้สามารถทดสอบผู้คนหลายสิบล้านคนได้ทุกวัน นั่นหมายความว่าการสืบสวนในแบบตรวจ — สืบตาม — แยกตัวสามารถทำได้เร็วขึ้นมาก และโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสืบติดตามการแพร่เชื้อโดยผู้ป่วยมากนัก

หากทุกคนมีอิสระที่จะไปที่ไหนก็ได้ แต่ต้องทำการตรวจแบบรวดเร็วและสแกนรหัส QR ก่อนที่จะเข้าสู่ชุมชนใดๆ เราจะสามารถระบุตัวทุกคนที่ติดเชื้อได้ทันทีและแยกคนเหล่านี้ออกจากสังคม

นี่คือการทำให้การตรวจ — สืบตาม — แยกตัวหรือการป้องกันชั้นที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก

กลยุทธ์สวิสชีส The Swiss Cheese Strategy

ขั้นตอนสี่ชั้นเพื่อหยุดการแพร่กระจายของไวรัสคือ: รั้ว, แยกกลุ่มทางสังคม (ปิดธุรกิจ ล็อคดาวน์), การลดการระบาด, และ การตรวจ — สืบตาม — แยกตัว

ไม่มีชั้นใดสมบูรณ์แบบในตัวเอง ทุกชั้นมีช่องโหว่ที่ปล่อยให้การติดเชื้อผ่านไปได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วเกราะสี่ชั้นนี้สร้างการป้องกันที่ไวรัสเจาะไม่ได้ เราขอเปรียบการป้องกันสี่ชั้นนี้กับสวิสชีสในคลิปด้านล่าง

ที่มา: ตามแบบจำลองสวิสชีสสำหรับเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยโดย James T. Reason แนวคิดดังกล่าวนี้เห็นได้จากหลายแห่งเพราะแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต นำโดยนักวิทยาศาสตร์และแพทย์เช่น Ian Mackay ทวีตเกี่ยวกับเรื่องนี้, ทวีตอื่นๆ, ซึ่งรวมทั้งจาก หมอ Jennifer Kwan, ทวีตโดยศ.จ.Siouxsie Wiles และจากบุคคลอื่นๆอีกหลายท่าน

การติดเชื้ออาจผ่านไปได้หนึ่งหรือสองชั้น แต่ถ้าเรามีการป้องกันหลายชั้น โอกาสที่การติดเชื้อจะผ่านไปได้ทุกชั้นโดยที่เราไม่รู้นั้นน้อยมาก

ตัวอย่างเช่น ลองนึกภาพว่าประเทศหนึ่งมีรั้วที่กักการติดเชื้อได้ 80% ไม่มีการแยกฟองสบู่ทางสังคม ลดการติดเชื้อได้ 95% และมีการตรวจ — สืบตาม — แยกตัวที่ได้ผล 50% ของการติดเชื้อ เกราะป้องกันเหล่านี้ร่วมกันจับได้ 99.5% ของเคสทั้งหมด หากอัตราการแพร่เชื้อ (Tranmission Rate) R เท่ากับ 3 ในตอนเริ่มแรก เกราะป้องกันร่วมกันจะลดค่า R ลงเหลือเพียง 0.015 ซึ่งแปลว่าการแพร่ระบาดจะหายไปได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

แต่ละชั้นในสี่ชั้นหลักเหล่านี้ประกอบด้วยชั้นเล็กๆย่อยลงไปอีก (ตัวอย่างเช่น รั้ว ก็แยกออกได้เป็น การสร้างกำแพง การกักกันตัว และการตั้งจุดตรวจที่ได้กล่าวไว้ในตอนแรก) แต่ละชั้นมีความสำคัญเพราะส่งผลของแบบทวีคูณ (multiplicative) ทุกครั้งที่คุณเพิ่มหนึ่งชั้นของการป้องกันคุณก็จะลดการติดเชื้อลง แต่ละชั้นยิ่งแข็งแกร่งเท่าใด การแพร่ระบาดจากผลรวมของเกราะทุกชั้นก็จะยิ่งลดลงเป็นเงาตามตัว

และเมื่อคุณมีชั้นป้องกันแล้วคุณก็สามารถปรับแต่งชั้นเกราะเหล่านี้ได้ โดยการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและมีราคาถูกที่สุดสำหรับชุมชนของคุณทั้งทางเศรษฐกิจและทางสังคม

ชีสต่างๆของโลก

กลยุทธ์ของทุกประเทศสามารถสรุปได้ด้วยการผสมผสานชั้นการป้องกันเหล่านี้

ตัวอย่างเช่น จีนใช้เกราะป้องกันทุกชั้นตั้งแต่เริ่มแรก โดยสั่งปิดพรมแดน มีการล็อคดาวน์ บังคับใช้หน้ากาก และมีการตรวจ — สืบตาม — แยกตัว ซึ่งรวมถึงการติดตามพลเมืองทางอิเล็กทรอนิกส์ และมีการบังคับให้แยกตัวและกักกัน ไม่น่าแปลกใจที่ประเทศจีนเอาชนะไวรัสได้

เกาหลีใต้และไต้หวันไม่ต้องการเกราะป้องกันทุกชั้น เพราะสร้างรั้วที่แข็งแกร่ง มีเพียงการปิดกิจการระยะสั้นๆในท้องถิ่นในการแยกกลุ่มทางสังคม มีการใช้หน้ากากอย่างแพร่หลายสำหรับลดการแพร่ระบาด และมีการตรวจ — สืบตาม — แยกตัวที่ดีเยี่ยมระดับโลก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือสองประเทศนี้พึ่งเกราะชั้นที่ 1 และ 4 เป็นอย่างมาก ใช้การป้องกันชั้นที่ 3 เพียงเล็กน้อย และแทบจะไม่ต้องใช้ชั้นที่ 2 เลย ซึ่งชั้นนี้เป็นชั้นที่มีราคาแพงที่สุด

นิวซีแลนด์และออสเตรเลียใช้ชั้นที่ 1 และ 2 หนักมาก เนื่องจากเป็นประเทศเกาะที่มีประชากรน้อยและแผ่กระจาย พวกเขาจึงสามารถป้องกันการติดเชื้อส่วนใหญ่ได้ด้วยรั้วและดูแลผู้ติดเชื้อในท้องถิ่นด้วยการแยกฟองสบู่ทางสังคม แม้แต่รัฐวิกตอเรียในออสเตรเลียก็มีรั้วและการปิดกั้นเพื่อควบคุมไวรัส ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการทำงานให้ได้ผลดีของการป้องกันชั้น 3 และ 4

ประเทศเหล่านี้มีความชุกของโรคน้อยมาก (ความชุกของโรคในที่นี้หมายถึงจำนวนเคสใหม่ตามสัดส่วนประชากร) ซึ่งทำให้ง่ายต่อการควบคุมการระบาดและเปิดประเทศในเวลาเดียวกัน และหากมีการระบาดก็สามารถระบุตัวผู้ติดเชื้อและระงับการระบาดได้อย่างรวดเร็ว นี่คือวิถีชีวิตที่แทบจะเหมือนปกติในไต้หวัน เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ และส่วนใหญ่ของออสเตรเลีย หากประเทศอื่นๆพยายามทำเช่นนี้แม้จะมีจำนวนเคสไม่มากแต่มีเคสแบบต่อเนื่องไม่หยุดก็จะยากกว่ามาก

แต่ถึงแม้จะยากก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว ญี่ปุ่นมีความผันผวนเป็นเวลาหลายเดือนระหว่าง 0 ถึง 10 ผู้ป่วยต่อประชากร 100,000 คน เขาทำได้อย่างไร? ญี่ปุ่นแข็งแกร่งมากในชั้นที่ 1, ในชั้นที่ 3 ก็มีการสวมหน้ากากอย่างแพร่หลายมากและการใช้หลัก 3C ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมถึงการใช้ชั้นที่ 4 ด้วยวิธีการทำลายคลัสเตอร์ดังที่กล่าวข้างต้นเช่นกัน

การป้องกันชั้นเดียวที่คุณต้องการหลีกเลี่ยงคือชั้นที่แพงที่สุด นั่นก็คือชั้นที่ 2 การวางระยะห่างทางสังคมด้วยการปิดหรือจำกัดธุรกิจและการมีล็อคดาวน์ นี่คือชีสที่มีราคาแพงมาก

เศรษฐกิจเคลื่อนไหวเมื่อผู้คนมีการเคลื่อนไหวพบปะกัน ถ้าสิ่งนี้หยุดเศรษฐกิจก็หยุด ยิ่งเราพัฒนาการป้องกันชั้น 1, 3, และ 4 มากขึ้นเท่าใด เราก็จะพึ่งพาชั้น 2 ที่มีราคาแพงน้อยลงเท่านั้น

น่าเสียดายที่ประเทศตะวันตกไม่เคยเรียนรู้ที่จะใช้การป้องกันชั้นที่ถูกกว่าเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงหวนกลับไปใช้ชั้นป้องกันที่พวกเขารู้จักดีซึ่งก็คือชั้นที่ 2 การใช้การป้องกันชั้นนี้ก็จะส่งผลเสียให้กับเศรษฐกิจเรื่อยไปแทนที่จะเรียนรู้วิธีเต้นรำจากการใช้เกราะป้องกันชั้นอื่นๆ

คุณหรือประเทศของคุณควรทำอย่างไร

ชุมชนของคุณก็ทำได้

ถึงตอนนี้เราคุยกันถึงเรื่องระดับประเทศ ซึ่งในระดับนี้รัฐบาลมีอำนาจในการออกใช้มาตรการป้องกันทั้งสี่ชั้น แต่คุณก็ทำเช่นนี้ได้เช่นกันในระดับหมู่คณะและชุมชน

คุณสามารถใช้ความคิดแนวเดียวกันนี้กับชุมชนระดับใดก็ได้ เช่นระดับภูมิภาค เมือง วิทยาเขตมหาวิทยาลัย สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงงานบรรจุอาหารหรือเนื้อสัตว์ เรือนจำ ธุรกิจ หรีอบ้าน

ยกตัวอย่าง วิทยาเขตของมหาวิทยาลัย อะไรคือสิ่งที่เทียบเท่ากับการป้องกันชั้นที่ 1 หรือรั้ว? การตรวจนักเรียนทุกคนเมื่อเดินทางมาถึงและสี่วันให้หลัง ในระหว่างสี่วันนี้ก็แยกให้อยู่ในห้องตามลำพัง นำอาหารและน้ำมาให้ทุกวันแถมด้วยNetflix นักเรียนไม่สามารถออกจากพื้นที่รอบนอกของมหาวิทยาลัยได้ หากออกไปข้างนอกก็ต้องกักกันตัวอีกครั้งเมื่อกลับเข้ามา คนงานในวิทยาเขตจะได้รับการตรวจทุกวันเมื่อเข้ามาและไม่อนุญาตให้พักค้างคืน

สำหรับชั้นที่ 2 จัดตั้งฟองสบู่แยกกลุ่มคน ทำได้โดยลดขนาดของชั้นเรียนที่ใหญ่ๆลง และสร้างฟองสบู่ทางสังคมโดยจัดกลุ่มให้นักเรียนสังสรรค์กัน และไม่ให้มีการสังสรรค์นอกกลุ่มหรือข้ามกลุ่ม ห้ามออกไปเที่ยวข้ามกลุ่ม และควรห้ามการมีปาร์ตี้

สำหรับชั้นที่ 3 โรงเรียนควรจัดเตรียมหน้ากากคุณภาพสูงให้นักเรียนและควรมีการบังคับใช้ หากเรียนกลางแจ้งได้ก็ควรทำ ผู้ที่อยู่ในอาคารต้องใช้แว่นตากันลม (goggles) หรือใช้เกราะกันหน้า (face shield) และเปิดหน้าต่างทั้งหมด หากอุณหภูมิไม่เอื้ออำนวยต่อการเปิดหน้าต่างหรือเรียนกลางแจ้งก็ควรปรับปรุงระบบการระบายอากาศ และห้องเรียนควรทำให้ร้อนและชื้น

สำหรับชั้นที่ 4 การตรวจ — สืบตาม — แยกตัว หากสามารถทำการตรวจอย่างรวดเร็วได้ทุกวันก็ยิ่งดี โรงเรียนควรซื้อและแจกจ่ายชุดตรวจแบบรวดเร็วสำหรับให้นักเรียนใช้ประจำวัน มิฉะนั้นควรใช้การทดสอบสิ่งปฏิกูล

นักเรียนและนักการศึกษาควรมีแอปสืบตามผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อ การชุมนุมทั้งหมดควรบังคับให้สแกนรหัส QR ที่สร้างขึ้นสำหรับกิจกรรมนั้นๆ หากตรวจได้ผลเป็นบวกควรแยกตัวทันที เมื่อแยกตัวแล้วควรติดตามด้วยแอปว่าแยกตัวตามที่ควรหรือไม่ หากมีการละเมิดก็ควรได้รับโทษที่รุนแรง ผู้มีการพบปะติดต่อกับผู้ติดเชื้อทั้งหมดควรได้รับการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติด้วยข้อมูลจากรหัส QR และบุคคลเหล่านี้ควรกักบริเวณตัวเอง ทุกอย่างเหล่านี้ควรใช้แอปบังคับ

การนำแนวคิดนี้ไปใช้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชุมชนและกิจกรรมทางสังคมต่างๆที่มีแนวโน้มที่จะเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดแบบ superspreader หากเรือนจำทุกแห่ง สถานดูแลผู้สูงอายุ โรงงานบรรจุอาหารและเนื้อสัตว์ โรงเรียน มหาวิทยาลัย สำนักงาน และงานกิจกรรมส่วนตัวขนาดใหญ่ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ เราก็จะสามารถหยุดไวรัสในชุมชนของเราได้

นอกจากนี้การควบคุมระดับเล็กจะมีส่วนช่วยในการหยุดยั้งการระบาดในวงกว้างด้วย เนื่องจากเคสส่วนใหญ่มาจากการระบาดแบบ superspreader

ไม่ต้องรอให้รัฐบาลทำทุกอย่างก่อน เราทุกคนสามารถทำในส่วนของเราในแวดวงของเราได้

ถึงตอนนี้ เราคงรู้ชัดแล้วว่าเราต้องเต้นรำ คำถามต่อไปก็คือ ประเทศต่างๆมีปณิธานที่จะเต้นรำหรือไม่?

สำหรับประเทศที่อยากเต้นรำ

หากประเทศไหนมีความมุ่งมั่นที่จะเต้นรำ เส้นทางข้างหน้าจะชัดเจนมาก: หากมีการระบาดอย่างหนักที่ไม่สามารถควบคุมได้ ให้ใช้การปิดตัวล็อคดาวน์ (ชั้นที่ 2) ก่อน ในขณะเดียวกันก็เพิ่มการป้องกันชั้นอื่นๆอย่างรวดเร็ว

ชั้นที่ 1: รั้ว

  • ควรประกาศให้รู้ทั่วกันถึงรั้วที่สร้างขึ้น ซึ่งควรรวมถึงการตรวจเมื่อมาถึงและหลังจากนั้นไม่นานอีกครั้งหนึ่ง โดยมีการกักกันตัวระหว่างการตรวจสองครั้งนี้

ชั้นที่ 2: ฟองสังคมแยกผู้คนและกลุ่มคน

  • กำหนดขนาดสูงสุดของการชุมนุมของผู้คนที่อนุญาต (เช่น 30 คนเช่นในสวีเดน) ปรับเปลี่ยนแล้วแต่ความชุกของโรคในท้องถิ่น
  • พยายามหลีกเลี่ยงฟองสังคมประเภทอื่น ๆ

ชั้นที่ 3: Contrafection การลดความระบาด

  • บังคับใช้หน้ากากเมื่ออยู่ใกล้กับผู้อื่นหรืออยู่ในห้องเดียวกันกับผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเมื่ออยู่กลางแจ้งหากไม่อยู่ใกล้ผู้อื่นซึ่งไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน
  • ขอแนะนำให้ใส่แว่นกันลม (goggles) เมื่ออยู่ในร่ม
  • อนุญาตให้มีการรวมตัวกันได้หากมีจำนวนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด อยู่กลางแจ้ง และมีระยะห่างระหว่างผู้คน
  • กำหนดการชุมนุมในอาคารว่าจะต้องมีการระบายอากาศที่ดีขึ้นด้วยการใช้เครื่องกรอง อากาศชนิด HEPA มีอุณหภูมิที่สูงขึ้น และความชื้นที่เหมาะสม

ชั้นที่ 4: ตรวจ — สืบตาม — แยกตัว

  • ตรวจให้มากพอ ผลตรวจเป็นบวกควรต่ำกว่า 3–5% สำหรับการตรวจแบบ PCR
  • ประกาศกลยุทธ์สำหรับการระบุตัวผู้ป่วยอย่างว่องไว (early detection)
  • มีผู้สืบตามการพบปะกับผู้ติดเชื้อประมาณ 2 คนต่อจำนวนเคสรายวันหนึ่งเคส
  • กำหนดให้มีการเผยแพร่รายงานประสิทธิภาพในการสืบตามผู้มีการพบปะติดต่อกับผู้ป่วย: กี่เปอร์เซ็นต์ของผู้มีการพบปะกับผู้ติดเชื้อถูกกักกันตัวภายในสองวัน? (หลังจากมีการระบุตัวผู้ติดเชื้อ)
  • แจกจ่ายทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือผู้คนในระหว่างการถูกกักกันด้วยเงิน อาหาร น้ำ ยา และความบันเทิง
  • บังคับใช้กฏ และติดตามการบังคับใช้กฏอย่างใกล้ชิด เมื่อมีการแยกตัวและการกักกันตัว
  • ปรับอย่างหนักสำหรับผู้ที่ไม่เคารพเชี่อฟังการแยกตัวและการกักกันตัว แจ้งค่าปรับเหล่านี้ให้ทราบล่วงหน้า

สิ่งเหล่านี้ควรใช้ได้กับประเทศส่วนใหญ่ แต่ถ้าประเทศใดไม่อยากเต้นรำหรือทำไม่ได้ล่ะ? ตัวอย่างเช่นอาร์เจนตินาซึ่งอยู่ภายใต้การล็อคดาวน์เป็นเวลาเจ็ดเดือนแต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมไวรัสได้ ประเทศอื่นๆ เช่นสหรัฐอเมริกาไม่เคยลองทำอะไรจริงจังเลยตั้งแต่แรก ทางเลือกอื่นของพวกเขาคืออะไร?

ประเทศเหล่านี้ควรพยายามบรรเทาการแพร่ระบาดโดยไม่ยับยั้งไวรัสอย่างสมบูรณ์หรือไม่? หรือปล่อยให้ไวรัสหายไปเอง? แล้วความตายล่ะ? ภาวะเรื้อรังจากโรคล่ะ? การรักษา? วัคซีน? แต่ละอย่างจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมี? สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อยุทธศาสตร์ของประเทศเหล่านี้อย่างไร?

เราจะตอบคำถามเหล่านี้ในบทความภาคต่อไป

--

--

Ken Mallikamas

MS Engr., MBA. Co-owned a SW product with $1.5B annual sales. Typing loudly from a California town by the Bay, often with his cat purring happily on his lap.